กังขา2บริษัท‘เหยียนปิน’บัญชีบักโกรก
โพสต์ทูเดย์
— ศอฉ.ตะลุยสอบธุรกิจเหยียนปิน พบลงบัญชีสุดพิศวงแหล่งข่าวจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เปิดเผยว่า ศอฉ.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมของนิติบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นเครือข่ายให้ทุนสนับสนุนเสื้อแดงหลายแห่ง นอกจากบริษัทของเครือชินวัตรแล้ว ยังตรวจสอบบริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป และบริษัท รวยชัย เมอร์แชนไดส์ ของนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือเหยียนปิน นักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสองบริษัทจดทะเบียนบนที่ตั้งเดียวกัน คือเลขที่ 17/625 อาคารสราญใจแมนชั่น ชั้น 25 ซอยสุขุมวิท 6
โดยบริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ จดทะเบียนให้บริการเช่าห้องพัก ส่วนบริษัท รวยชัย เมอร์แชนไดส์ ทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตรมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เท่ากันทั้งสองแห่ง
บริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ มีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (25472551) หลังสุดปี 2551 บริษัทขาดทุนถึง 40 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจทั่วไปหากขาดทุนติดต่อกันนานและสูงมากเช่นนี้ ก็น่าจะปิดกิจการไปแล้ว
นอกจากนั้น ยังพบข้อสังเกตอีกว่า บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเป็นผู้ให้ บริการเช่าห้องพัก แต่ในการลงบัญชีหมวดสินทรัพย์ ปรากฏว่ามีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ในราคา 2.9 แสนบาทเท่านั้น นอกจากนี้บริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ยังมีเงินกู้ยืมระยะยาวระบุไว้ถึง 295 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏว่ามีบัญชี เจ้าหนี้การค้ามาตลอดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัท รวยชัย เมอร์แชนไดส์ มีข้อน่าสังเกตจากงบการเงินย้อนหลัง พบว่าลงบัญชีขาดทุนเท่ากันตลอดในช่วง 4 ปี (25482551) ที่ 74.2 ล้านบาท ซึ่งในทางธุรกิจแล้วไม่น่าเป็นไปได้
นอกจากนั้น ในงบการเงินของบริษัทยังไม่ปรากฏรายการของลูกหนี้การค้าและเจ้าหนี้การค้าใดๆ อีกทั้งยังปรากฏว่าบริษัทเป็นหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวอีก 26 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่เท่ากันตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สินทรัพย์ของบริษัทที่เป็นที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ กลับไม่ปรากฏในบัญชีมีเพียงในปี 2547 ที่ลงบัญชีสินทรัพย์ในกลุ่มนี้ว่าอยู่ที่ 1 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่างจากการลงบัญชีของบริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ทั้งที่ที่ตั้งอยู่สถานที่เดียวกัน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ได้ส่งเอกสารเส้นทางเดินเงินมาให้ส่วนใหญ่แล้ว และยังได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญตรวจสอบอยู่
ขณะเดียวกัน ก็มีบุคคลและนิติบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีของ ศอฉ. ทยอยเข้ามาขออนุญาตเบิกจ่ายเงินและขอให้ ศอฉ.ถอนรายชื่อออกจากบัญชี ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา


