posttoday

สะเก็ดดาวพุ่งชนดวงจันทร์

02 มีนาคม 2557

นักดาราศาสตร์ในสเปนบันทึกภาพเหตุการณ์วัตถุขนาดประมาณหนึ่งเมตรพุ่งชนดวงจันทร์

นักดาราศาสตร์ในสเปนบันทึกภาพเหตุการณ์วัตถุขนาดประมาณหนึ่งเมตรพุ่งชนดวงจันทร์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบมา สว่างพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า

อวกาศระหว่างดาวเคราะห์ภายในระบบสุริยะอาจดูว่างเปล่า แต่ที่จริงมีสะเก็ดดาวล่องลอยอยู่ แต่เบาบาง ไม่หนาแน่นเท่ายุคต้นๆ ของระบบสุริยะ ดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศแบบโลกที่คอยช่วยป้องกันวัตถุจากอวกาศ พื้นผิวดวงจันทร์จึงเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตขนาดต่างๆ กระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อดูด้วยกล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ นั่นแสดงให้เห็นว่า ดวงจันทร์ถูกชนอย่างต่อเนื่องมาตลอดอายุของระบบสุริยะ

แม้ในปัจจุบันนี้ สะเก็ดดาวก็ยังพุ่งชนดวงจันทร์อยู่เป็นระยะๆ แต่การสังเกตทำได้ยาก เนื่องจากการชนที่สว่างพอจะเห็นได้จากพื้นโลกไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย การศึกษาสะเก็ดดาวพุ่งชนดวงจันทร์ด้วยกล้องถ่ายภาพอย่างเป็นระบบเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยต้องมีกล้อง 2 กล้อง จับภาพในบริเวณเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นดาวตกจริง ไม่ใช่รังสีคอสมิกหรือสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า สามารถพบแสงวาบบนดวงจันทร์ได้บ่อยที่สุดในช่วงที่เกิดฝนดาวตก

ปี พ.ศ. 2552 นักดาราศาสตร์จากสถาบันดาราศาสตร์ฟิสิกส์แห่งอันดาลูซีอาในสเปน ได้สร้างเครือข่ายจับตาดูดวงจันทร์ คอยเฝ้าสังเกตแสงสว่างวาบที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวด้านมืดของดวงจันทร์ด้วยกล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวด้วยระบบอัตโนมัติ เรียกว่า มิดาส (MIDAS ย่อมาจาก Moon Impacts Detection and Analysis System)

วันที่ 11 ก.ย. 2556 กล้องบันทึกภาพที่ต่อกับกล้องโทรทรรศน์ในหอดูดาวของมหาวิทยาลัยเวลวา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซบีญา ทางใต้ของสเปน สามารถบันทึกภาพแสงสว่างวาบบริเวณที่ชื่อว่า ทะเลเมฆ (Mare Nubium) บนพื้นผิวดวงจันทร์ แสงนั้นสว่างวาบขึ้น และใช้เวลานานราว 8 วินาที ก่อนจะจางหายไป แสดงให้เห็นว่า มีพลังงานสูง เกิดจากวัตถุที่มีมวลมาก และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

ปัจจุบันมีโอกาสน้อยที่โลกและดวงจันทร์จะถูกสะเก็ดดาวขนาดใหญ่หรือดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กพุ่งชน แต่ทั้งโลกและดวงจันทร์ก็ถูกระดมยิงจากสะเก็ดดาวขนาดเล็กอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เราเห็นดาวตกบนท้องฟ้าเวลากลางคืนได้หลายดวงในแต่ละชั่วโมง ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ

นักดาราศาสตร์คาดว่าวัตถุที่ชนดวงจันทร์ในครั้งนี้มีขนาดประมาณรถยนต์ขนาดเล็ก เมื่อกระแทกพื้นผิวดวงจันทร์ แรงกระแทกที่รุนแรงทำให้สะเก็ดดาวถูกหลอมและระเหิดไปในทันที พื้นดินบริเวณที่ถูกชนอาจหลอมกลายเป็นหยดของซิลิเกต พลังงานของการชนถูกเปลี่ยนรูปเป็นความร้อนและแสงสว่าง วัดได้ว่ามีความสว่างเกือบเท่าดาวเหนือ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ปกติแสงวาบที่เกิดจากการชนลักษณะนี้จะส่องสว่างเป็นระยะเวลาสั้นๆ คิดเป็นเศษเสี้ยวของวินาที แต่การชนครั้งนี้ทำให้เกิดแสงสว่างวาบนานต่อเนื่องถึง 8.3 วินาที นับเป็นดาวตกบนดวงจันทร์ที่มีความสว่างมากที่สุด ส่องสว่างยาวนานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา

ผลการวิเคราะห์แสดงว่า สะเก็ดดาวหรือดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กที่ชนดวงจันทร์ครั้งนี้มีมวลราว 450 กิโลกรัม ขนาดประมาณ 0.61.4 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 6.1 หมื่นกิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าน่าจะก่อให้เกิดหลุมอุกกาบาตที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 50 เมตร พลังงานจากการชนครั้งนี้ใกล้เคียงพลังงานที่เกิดจากระเบิดทีเอ็นทีราว 15 ตัน มากกว่าครั้งที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้โดยองค์การนาซาของสหรัฐเมื่อเดือน มี.ค. 2556 ถึง 3 เท่า

ข้อมูลจากมิดาสแสดงว่า มีสะเก็ดดาวพุ่งชนดวงจันทร์อยู่ทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นการชนด้วยสะเก็ดดาวที่มีมวลไม่กี่กรัม โดยพบการพุ่งชนเฉลี่ยทุก 3 ชั่วโมง ข้อมูลจากทีมของสเปนในขณะนี้แสดงว่า โลกและดวงจันทร์อาจถูกชนบ่อยกว่าผลการประเมินก่อนหน้านี้

นักดาราศาสตร์คาดว่าการศึกษาเพื่อเก็บสถิติการเกิดปรากฏการณ์สะเก็ดดาวพุ่งชนดวงจันทร์จะช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงจากการชนได้ โดยเฉพาะหากมนุษย์มีแผนจะตั้งสถานีวิจัยถาวรบนดวงจันทร์ในอนาคต

ข่าวล่าสุด

สวนดุสิตโพล เปิด 5 อันดับ “นักการเมือง” ประชาชนเชียร์นั่งนายกฯ