เสียงสะท้อนพ่อแม่เมื่อต้องพาลูกไปม็อบ
ประเทศชาติก็รัก ลูกเราก็รัก สมัยนี้ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว จึงจำเป็นต้องหอบลูกไปด้วยแม้ว่าลูกอาจไม่เต็มใจนักก็ตาม
โดย...โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
เสียงร่ำไห้ของคนเป็นพ่อเป็นแม่เมื่อลูกน้อยต้องมาสังเวยชีวิตจากสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง เป็นโศกนาฏกรรมที่ทุกฝ่ายมิอาจยอมรับได้ ด้าหนึ่วเสียงสะท้อนจากองค์กรด้านเด็กได้เรียกร้องให้ผู้ปกครองงดพาเด็กเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม หากแต่ในมุมของผู้คนที่มาร่วมชุมนุม และผู้ที่จำเป็นต้องทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพอยู่ในบริเวณเหล่านั้นก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
"ประเทศชาติก็รัก ลูกเราก็รัก แต่บ้านเรามีแค่สามคนพ่อแม่ลูก ไปไหนก็ไปกันทั้งบ้าน เพราะฉะนั้นเวลาไปม็อบเราก็ไปด้วยกันหมด" ศศิธร กนิษฐ์โรจน์ แม่บ้านย่านลาดกระบัง บอกเสียงดังฟังชัด
เธอให้เหตุผลว่าสมัยนี้ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่มีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอามาคอยเลี้ยงดูลูกหลาน จะฝากไว้กับเพื่อนบ้าน บางคนก็อาจไม่ไว้ใจ บางคนก็เกรงใจ หลายครอบครัวจึงจำเป็นต้องหอบลูกไปด้วยแม้ว่าลูกอาจไม่เต็มใจนักก็ตาม
"ลูกสาวพี่อายุ 14 ก็โตพอที่จะรู้ข่าวสาร เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองบ้างในระดับหนึ่ง แต่เขาไม่สนใจหรอก การเมืองมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ วัยเขาเป็นวัยโลกสวย อยากจะอยู่บ้านเล่นอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือ เย็บปักถักร้อยตามประสาเค้ามากกว่ามาม็อบที่ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่บ้านเราทำอะไรทำด้วยกัน ดูทีวีดูช่องเดียวกัน ไปเที่ยวนอกบ้านด้วยกัน มันจึงไม่มีทางเลือกอื่นเพราะไม่ยอมให้ลูกอยู่บ้านคนเดียวแน่
แต่เราก็ต้องเห็นใจลูกด้วย บางทีเขาเรียนมาเหนื่อย ติดเรียนพิเศษ เราก็ต้องปรับตัวกลายเป็นนักรบหน้าจอ ชุมนุมอยู่ที่บ้านแทน แต่ถ้าไม่ติดอะไร บางทีเขาก็เอาการบ้านมาทำด้วย งานพวกวิชาหัตกรรม แก้เบื่อ เพราะเค้าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง"
ข่าวเศร้าแสนหดหู่กรณีที่มีเด็กตัวน้อยๆต้องมาเสียเลือด เสียเนื้อ เสียชีวิตจากลูกหลง ในหัวอกพ่อแม่ใครๆก็ย่อมสะเทือนใจ ศศิธรประณามความรุนแรง และมองว่าพ่อแม่ผู้โชคร้ายท่านนั้นคงต้องอยู่ในภาวะทุกข์ทรมานไปอีกนาน สิ่งที่พอเยียวยาปลอบประโลมไดบ้างคงมีแต่กำลังใจจากคนรอบข้าง เวลา และธรรมะคำสอนจากพุทธศาสนา
"ถึงสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่กลัวนะ พี่ไปทุกเวที ถ้ากลัวคงไม่ไปทุกเวที ไม่เคยรู้สึกว่าม็อบเป็นพื้นที่อันตรายเลย แต่การไปต้องฉลาด ต้องไปอย่างมีสติ หาพื้นที่เหมาะสม ไม่ใช่ไปยืนอยู่ทัพหน้า เวลาเขาตีกัน เราแค่ไปฟังปราศรัย ถึงเวลาสมควรแล้วก็กลับ"
ขณะที่ พีรวัฒน์ กุลอมรกานต์ ช่างเทคนิควัย 43 คุณพ่อของลูกชายวัยสองขวบ บอกให้ฟังขณะนั่งพักอยู่ข้างเวทีสวนลุมพินีว่า ช่วงเวลากลางวันชนเย็น ไม่ค่อยอันตราย เพราะเป็นช่วงเลิกงาน บรรยากาศร้านรวงคึกคัก มีคนมาร่วมชุมนุมหนาแน่น
"ผมคิดว่าเวลากลางคืนเป็นต้นไปน่ากลัวกว่า อีกทั้งถ้าไปเดินๆตามรอบนอกม็อบ ออกไปจากด่านตรวจของการ์ด โอกาสเกิดเหตุร้ายน่าจะมีมากกว่าอยู่ในม็อบแถวหน้าเวทีซึ่งมีการตั้งด่าน มีการ์ด เหมือนปลอดภัยอยู่ในค่าย แต่ถ้าเอาเด็กมาใช้ชีวิตค้างคืนอยู่นานๆ ผมว่ามันจะเสี่ยง ยิ่งตอนนี้เหตุการณ์รุนแรงเริ่มมีบ่อยขึ้น โอกาสเสี่ยงก็จะมีมากกว่าคนที่พาลูกมาเที่ยวๆแล้วก็กลับ อย่างผมเองก็ไม่อยากพามาหรอก เจ้าตัวนี้กำลังดื้อเลย แต่เราจูงมือลูกอยู่ตลอดเวลา เรื่องพลัดหลงไม่มีแน่นอน แล้วเรามาไม่นาน เดินเที่ยวแป๊บๆก็กลับแล้ว"
กัญญา สงนุรักษ์ แม่ค้าขายเสื้อยืดกรีนลายธงชาติ นกหวีด สายห้อยคอ ย่านสีลม กำลังกุลีกุจอเรียกลูกค้า โดยมีลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนทำการบ้านอยู่ใกล้ๆ เธอบอกว่าต้องทำมาหากิน ลูกก็ต้องเลี้ยง ไม่ให้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่รู้จะไปฝากไว้ที่ใคร
"ขายอยู่ที่นี่สองเดือนกว่าแล้ว ขายดีมีกำไร เลยคิดว่าคงน่าจะปักหลักอยู่ที่นี่อีกยาว สามีพี่ขับแท็กซี่กะดึก ลูกสาวคนโตก็ทำงานห้างสรรพสินค้า เขายุ่งทั้งวัน ไอ้ตัวเล็กนี่หลังเลิกเรียนก็ต้องให้พ่อมันไปรับมาส่งแล้วอยู่กับเราตลอดช่วยกันเฝ้าร้าน
ทุกคนต้องทำมาหากินกันหมด จะให้เอาลูกไปฝากไว้ที่ใคร จะไว้ใจเขาได้หรือ เป็นห่วงว่าจะกินข้าวกินปลารึยัง จะหกล้มหกคะเมนยังไงเราก็ไม่เห็น เอามาอยู่ใกล้ๆเราอุ่นใจกว่าเยอะ"
แม่ค้าวัย 46 รายนี้ บอกว่ามีพ่อแม่จูงลูกจูงหลานมาม็อบทุกวัน ส่วนใหญ่มาช่วงเย็นๆ อากาศไม่ร้อน บ้างก็เดินมาหาของกิน เดินเที่ยว บ้างก็มานั่งฟังปราศรัยจบแล้วก็กลับ
"วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี่เยอะนะ เหมือนเขามาเดินเที่ยวมากกว่า ที่นี่ปลอดภัยนะ มีการ์ด มีด่าน ถ้ากลางวันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้ากลางคืนก็ไม่ควรอยู่ให้ดึกนัก
วันก็เพิ่งก่อนมีข่าวระเบิด M79 ลงหลายลูกที่ข้างสวนลุม กลัวนะ แต่เราขายของกลางวันค่ำก็กลับแล้ว คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก"
ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากเครือข่ายองค์กรทำงานด้านเด็ก 43 องค์กร เรียกร้องให้พื้นที่ชุมนุมเป็นพื้นที่ปลอดเด็ก หลังจากมีเด็กเสียชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองแล้วถึง 4 คน
เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ห้ามไม่ให้พ่อแม่พาเด็กไปร่วมชุมนุมว่าม็อบไม่ใช่พื้นที่สำหรับการจะพาเด็กไป เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่ทุกคนในครอบครัวจะมีส่วนร่วมด้วยกันได้เหมือนกับสวนสาธารณะ สวนสนุก หรือห้างสรรพสินค้า เป็นพื้นที่ที่พ่อแม่เท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมได้
"การที่เด็กตัวเล็กๆแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าเป็นลายธงชาติ เป่านกหวีด หรือถือป้ายด่านายก ถามว่าเด็กทำเองได้หรือ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ยัดเยียดให้ ด้านเด็กโตที่พ่อแม่บอกว่าจะพาไปเรียนรู้เรื่องแสดงสิทธิทางการเมือง มันมีมากมายหลายวิธีในการสอน โดยที่เรายังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เช่น ติดตามสถานการณ์ม็อบจากช่องบลูสกายด้วยกันที่บ้าน
ถามว่าแต่ละคนมีความพร้อมแค่ไหนในการปกป้องลูกหลานของตัวเอง กรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น เด็กพลัดหลง ปาระเบิด ผมคิดว่าการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นด้วยการไม่พาเด็กมายังที่ชุมนุม ดีกว่ามาแก้ไขเยียวยาทีหลัง พ่อแม่ควรจะไตร่ตรอง ใช้วิจารณญาณให้ดีว่าเราจะรับความเสี่ยงเหล่านี้ได้หรือเปล่า เพราะตอนนี้มันมีสัญญาณอันตรายอย่างที่ชี้ว่าพื้นที่ชุมนุมไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกแล้ว"


