สะท้อนสังคมผ่านจักรวานของ"ลำยอง"
ความรุนแรงในละครเรื่องทองเนื้อเก้าหลายฉาก เช่น ฉากที่ลำยองผลักลูกชายคนโตอย่างแรงจนวันเฉลิมเซถลำหน้าเกือบทิ่มโต๊ะ พร้อมกับภาษาและถ้อยคำหยาบคายที่ตวาดกราดเกรี้ยว เด็กน้อยวันเฉลิมเวอร์ชั่นล่าสุดน้ำตาร่วงพราว กระชากใจคนดูหน้าจอโทรทัศน์ไปพร้อมๆ กัน
ความรุนแรงในละครเรื่องทองเนื้อเก้าหลายฉาก เช่น ฉากที่ลำยองผลักลูกชายคนโตอย่างแรงจนวันเฉลิมเซถลำหน้าเกือบทิ่มโต๊ะ พร้อมกับภาษาและถ้อยคำหยาบคายที่ตวาดกราดเกรี้ยว เด็กน้อยวันเฉลิมเวอร์ชั่นล่าสุดน้ำตาร่วงพราว กระชากใจคนดูหน้าจอโทรทัศน์ไปพร้อมๆ กัน
“มึงไม่รู้เรอะว่าพ่อมึงเขามีเมียใหม่แล้ว วันนี้เขาฉลองกันเชิญคนทั้งตำบล สมัยแต่งกูมันไม่เชิญใครสักกี่คนเลย นี่ทำซะใหญ่โต คงจะทำเย้ยกู เขาคุยกันทั้งบ่อนมีแต่คนมองหน้ากู กูเลยซวยเล่นเสีย บ้านโน้นน่ะเขาไม่สนใจมึงหรอกไอ้วัน ปู่ย่ามึงอีกหน่อยเขาก็มีหลานใหม่แล้ว ไอ้เด็กหัวเน่า เจียมสังขารเสียมั่งสิเว้ย”...
สุภา สิริสิงห หรือ “โบตั๋น” ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2542 เจ้าของบทประพันธ์ทองเนื้อเก้า อธิบายว่า ความรุนแรงคือปัญหาร่วมสมัย โดยบทประพันธ์ใช้เค้าโครงมาจากเรื่องจริง ชีวิตจริง ของคนละแวกบ้านย่านฝั่งธนบุรี
“ตามท้องเรื่องเป็นปี 2505 แม่คือลำยอง ติดทั้งเหล้าและการพนัน สำมะเลเทเมาขี้เกียจ งานการไม่ทำ เชื่อโชคลาง จะเห็นว่าปัญหาและความรุนแรงของปัญหาจากปี 2505 ถึงปัจจุบันปี 2556 ไม่ได้ลดน้อยลงเลย มีแต่จะมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ลำยองถ้าอยู่ยุคนี้คงติดยาบ้าไปแล้ว แล้วก็คงเละกว่าที่เป็นอยู่”
ความเหมือนกันของปัญหาในครอบครัว คือความไม่มีเวลาของพ่อแม่ ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหนล้วนไม่มีเวลาให้ลูก
“ความรุนแรงคือปัญหาร่วมสมัยที่พ่อแม่ต้องเอาใจใส่ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องปรับตัวและปรับสภาพรับมือให้ดีที่สุดในแต่ละยุคสมัย”
ทัศนะเรื่องความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับความรุนแรงของแม่ที่ปฏิบัติต่อลูกในจอโทรทัศน์ หรือฉากกินเหล้ายาของลำยองโบตั๋น บอกว่า บางคนมองในมุมว่าไม่เหมาะสม เพราะปฏิบัติให้เห็นจนคนดูชาชินเห็นเป็นเรื่องปกติ หากในมุมของนักเขียนมองว่าคนเป็นแม่ดูฉากเหล่านี้แล้วจะสงสารเด็ก จะสะเทือนใจ และไม่ปฏิบัติต่อเด็กหรือลูกของตัวแบบในละคร การกินเหล้าของลำยองเห็นผลทันตาส่งผลร้ายรวดเร็ว
คนไม่เคยชินกับภาษาและความรุนแรงในฉาก รวมทั้งไม่เข้าใจจักรวาลของลำยองอาจไม่เข้าใจหรือรับไม่ได้ แต่ที่สุดก็จะเข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้วตัวละครตัวนี้ต้องทนทุกข์กับสิ่งที่ตัวกระทำ คนดูจะเห็นผลร้ายของการกินเหล้า การทิ้งขว้างลูก การปล่อยปละละเลยลูก ลูกของลำยองเว้นแต่ลูกของสันต์ผัวคนแรกแล้ว ไม่ได้ดี เพราะแม่ไม่ดูแล มัวแต่กินเหล้าเล่นการพนัน
ดูละครแล้วย้อนดูตัว “ลำยองเอฟเฟกต์” ที่ดูให้ดีก็จะเห็นถึงพลังที่มากพอที่จะเปลี่ยน หรืออย่างน้อยก็ลดปัญหาความรุนแรงและปัญหาครอบครัวในสังคมไทยลงบ้าง
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงมุมมองเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องปกติที่ละครแต่ละเรื่องต่างมุ่งเน้นสะท้อนสังคมฟอนเฟะ แต่อีกด้านหนึ่ง หากไม่มีมุมที่สามารถถอดบทเรียนหรือให้อะไรกลับมาต่อสังคมได้เลย ตัวผู้กำกับก็จะใช้วิธีกระบวนทัศน์ที่จะสร้างละครอะไรก็ได้ที่จะสะท้อนสังคมแรงๆ ออกมา
คำถามก็เกิดขึ้นตามมาว่า วันนี้จะสะท้อนสังคมที่ฟอนเฟะออกมาได้อย่างไร ผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากละครมันมีมากแค่ไหน หรือดูไปแล้วจะมีความคิดด้วยตัวเองขึ้นมา ซึ่งในความจริงมันไม่มี
“สังคมไทยอ่อนในเรื่องการสั่งสอน พ่อแม่กับลูกนั่งดูละครกันเรื่องที่แรงๆ ก็จะดูแล้วผ่านไป”
นพ.สุริยเดว ให้ความเห็นอีกว่า เอาง่ายๆ คือ ผู้กำกับ นักแสดง และผู้จัดละคร ต้องใจกว้าง ต้องเห็นปัญหาของประเทศและกลับมาช่วยกัน อย่างน้อยขอเวลาของช่วงที่ฉายละครสัก 23 นาที เพื่อถอดบทเรียนในแต่ละตอนให้เด็กและคนดูได้รับรู้รับทราบและได้คิดติดตามถึงผลที่เกิดขึ้นของตัวละครก่อนที่จะรับชม
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ระบุว่า เรื่องของความรุนแรงในละครโทรทัศน์ในสังคมไทย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรืออยู่คู่กันมาทุกยุคทุกสมัย กรณีทองเนื้อเก้าจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ทั้งต้นฉบับที่เป็นนวนิยายและที่ถูกดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ โดยหากใครที่ได้อ่านฉบับนวนิยายจะทราบดีว่าความเป็นไปในเรื่องมีเนื้อหาสำหรับกลุ่มผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้ได้ตั้งคำถามกับสังคม สิ่งแวดล้อม พ่อแม่ การเลี้ยงดู ว่าแท้ที่จริงแล้วมีอิทธิพลและส่งผลต่อโชคชะตาของตัวละครได้มากเพียงไร
ขณะที่ฉบับละครโทรทัศน์ที่เคยสร้างมาแล้วก่อนหน้านี้ถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อปี 2530 และทิ้งระยะไป 10 ปี ก่อนถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งในปี 2540 และมีจุดขายอยู่ที่ความแรงของตัวละครอย่างลำยอง โดยขณะนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แต่เมื่อดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ในปัจจุบัน ที่มีการประกาศหลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2556 มีผลบังคับใช้เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่กำหนดให้มีการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ (เรต) ของรายการโทรทัศน์ในทุกแพลตฟอร์ม จึงน่าจะมีการจัดการเรื่องความเหมาะสมที่ต่างออกไป
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมนั้นเปลี่ยนไป แต่ละครกลับเสนอเนื้อหาเดิมๆ ที่ไม่เท่าทันยุคสมัย บางกรณีปัญหาที่ดำเนินไปในยุคที่นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้น ไม่ได้มีองค์ประกอบทางสังคมที่ซับซ้อน ภาพความรุนแรงที่เคยฝากไว้กับชะตากรรมเช่นที่เกิดขึ้นกับวันเฉลิม วันนี้กลายเป็นสิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง แต่ที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ ละครเรื่องนี้ดี แต่กลับจัดเรตให้อยู่ในระดับ ท. หรือเป็นรายการทั่วไปที่เหมาะสมกับผู้ชมทุกเพศทุกวัย ถือเป็นรายการที่ให้สาระและความบันเทิงอย่างไม่มีพิษภัยต่อเด็กและเยาวชน ใช้สัญลักษณ์รูปบ้านสีเขียวนั้นสื่อถึงครอบครัวที่หมายถึงทุกคนสามารถรับชมรายการประเภทนี้ได้
“ในความเห็นของผม เรตดังกล่าวนั้นผิดอย่างชัดเจน เพราะควรจะเป็น น. 13 ขึ้นไป หรือรายการที่ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำแก่ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี นอกจากนี้เนื้อเรื่องในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นมาอาจจะต้องกำหนดกลุ่มผู้ชมที่มีอายุสูงถึง 18 ปี หรือย้ายเวลาออกอากาศด้วยซ้ำไป เพราะความรุนแรงของเนื้อเรื่องและภาษาที่ใช้ในเรื่องจะยิ่งแรงขึ้นๆ พฤติกรรมตัวละครหลักซึ่งเป็นอีลำยองจะแรงมาก แต่ยังไม่มีการขยับในเรื่องนี้ เพราะผู้ฉายอาจจะใช้ตัวละครเด็กวันเฉลิมเป็นข้ออ้างว่ามีเด็กเล่นก็เลยน่าจะให้เด็กดูได้ โดยไม่ได้พิจารณาเนื้อหาในภาพรวมที่รุนแรงเลย จึงเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นละครที่ไม่เหมาะกับคนดูที่เป็นเด็ก และแม้จะมีผู้ปกครองดูอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะตอบคำถามเรื่องพฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นถี่ๆ ซ้ำ” ธาม ระบุ


