posttoday

ม็อบกลางเมืองซ้ำเติมให้เศรษฐกิจอัตคัด

06 สิงหาคม 2556

ต้องเรียกว่า ความวัวยังไม่ทันหาย...เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป่านกหวีดเรียกม็อบกลางเมือง โดยรวบรัดเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้างโทษเหมาเข่ง

โดย...จตุพล สันตะกิจ

ต้องเรียกว่า ความวัวยังไม่ทันหาย...เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป่านกหวีดเรียกม็อบกลางเมือง โดยรวบรัดเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้างโทษเหมาเข่ง เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 7 ส.ค.นี้

2 สัปดาห์ก่อน วราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แจงคณะรัฐมนตรี (ครม.) จัดเรียงตารางเวลาเสนอร่างกฎหมายสำคัญๆ ที่จะทยอยเข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยเริ่มต้นที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557

เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการประชุมสภา เดือน ส.ค. มีวาระร้อนจ่อคิวเข้าสภาหลายเรื่อง

“การเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ รัฐบาลจะเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ให้สภาพิจารณาเป็นฉบับแรก ตามด้วยร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทลงทุนระบบขนส่ง ส่วนกฎหมายอื่นๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวิปรัฐบาล” วราเทพ ระบุในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 19 ก.ค.

เช่นกันมีเสียงเตือนจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ว่า การพิจารณากฎหมายสมัยประชุมนี้ มีเรื่องร้อนแรงหลายเรื่อง หากไม่ต้องการให้สถานการณ์ร้อนแรงเกินไป น่าจะแถลงผลงานนโยบายรัฐบาลช่วง 1 ปีที่ค้างอยู่ที่สภาก่อน

แต่กลายเป็นโอละพ่อ เพราะจู่ๆ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วิ่งแซงโค้งเข้าการพิจารณาสภาวาระแรกตัดหน้าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และร่าง พ.ร.บ.กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วิปรัฐบาลให้เหตุผลว่าร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับยังไม่เสร็จสะเด็ดน้ำ ขณะที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เป็นกฎหมายร้อนถูกจัดลำดับความสำคัญอันดับหนึ่ง เพื่อรักษาฐานเสียงกลุ่มคนเสื้อแดง

ทว่า ในภาวะเศรษฐกิจดิ่งหัว ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจไตรมาส 2 เกือบทุกตัวอยู่ในอาการไม่สู้ดีนัก

ไล่ตั้งแต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เดือน มิ.ย. หดตัว 2.6% ลดลงต่อเนื่องจากเดือน พ.ค. ยอดจัดเก็บหดตัว 1.6% ส่งผลให้ไตรมาส 2 การจัดเก็บภาษีแวตหดตัว 0.2% เทียบกับไตรมาสแรกที่การจัดเก็บภาษีแวตขยายตัว 6.9% สะท้อนว่าการจับจ่ายใช้สอยเครื่องดับเอาดื้อๆ แม้ว่าตลอด 1 ปีครึ่ง รัฐบาลจะโถมเงินในงบและนอกงบเข้าสู่ระบบไม่ยั้งมือ

การลงทุนเอกชนก็น่าห่วงไม่แพ้กัน ดัชนีการลงทุนหมวดเครื่องจักร และอสังหาริมทรัพย์ในเดือน มิ.ย. และไตรมาส 2 ชะลอตัวลง ดัชนีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

โดยเฉพาะการใช้กำลังการผลิตเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 64.1 ลดลงจากเดือน พ.ค. ที่อยู่ที่ระดับ 65.8 ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอยู่ในภาวะอ่อนแรงต่อเนื่อง

ส่วนส่งออกยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง เดือน มิ.ย. การส่งออกหดตัว 3.4% โดยหดตัวต่อเนื่องจากเดือน พ.ค. ที่การส่งออกหดตัว 5.3% ส่งผลให้การส่งออกไตรมาส 2 หดตัว 2.2% เทียบกับไตรมาสแรกที่การส่งออกขยายตัว 4.3% นั่นทำให้เงินตราต่างประเทศที่จะไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยหดหาย เพราะครึ่งปีแรกส่งออกขยายตัวเพียง 1%

ขณะที่เครื่องมือภาครัฐ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจไม่สูบฉีดอย่างที่คิด ยอดการเบิกจ่ายงบประมาณครึ่งปีแรกติดลบ 17.4% โดยเฉพาะงบลงทุนครึ่งปีติดลบ 0.3% มีการเบิกจ่ายงบลงทุนเพียง1.4 แสนล้านบาท จากงบลงทุนที่มีกรอบวงเงิน 4.48 แสนล้านบาท

สำหรับ พ.ร.ก.กู้เงินลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลตั้งความหวังว่าจะเร่งเบิกเงินนอกงบเข้าสู่ระบบให้ได้ในครั้งนี้ 7-8 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อเจอแรงต้านหนัก เพราะกระบวนการคิดนอกกรอบ ทำให้สาธารณชนไม่ไว้วางใจว่าจะมีการซุกนอกซุกในหรือไม่ เนื่องจากเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ต้องชดใช้กันยาวนานถึง 50 ปี เงินที่หวังจะอัดฉีดเข้าสู่ระบบทำท่าจะเป็นหมันในปีนี้

ผลพวงจากสัญญาณเศรษฐกิจที่หดตัว ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ จำต้องปรับลดเป้าการขยายตัวเศรษฐกิจจาก 5.1% เหลือ 4.2% กระทรวงการคลังลดเป้าจีดีพีจาก 4.5% เหลือ 4%

แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่าดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจปากท้องในชีวิตจริงยามนี้ ต้องบอกว่าหนักหนาสาหัสมากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจ

ค่าครองชีพที่กระชากแบบพรวดพราด จากผลข้างเคียงนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ และการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เป็นต้น และนั่นทำให้รายได้ครัวเรือนโตไม่ทันรายจ่าย ปรากฏการณ์ที่ตามมา คือ ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี

แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่า คือ การที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยสะท้อนตัวเลขที่น่าสนใจว่า ยอดขายสินค้าในอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งครึ่งปีแรกเติบโต 9% จากที่ประมาณการที่ 12% คิดเป็นมูลค่าการบริโภคหายไปกว่า 1.2 แสนล้านบาท จึงต้องตั้งคำถามว่าการที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงิน 5-6 แสนล้านบาท นอกจากงบประจำ แต่เหตุใดจึงไม่เกิดผลทางเศรษฐกิจ

สถานการณ์ครัวเรือนไทยยามนี้จึงตกอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง

จะว่าไปแล้วท่ามกลางเศรษฐกิจที่หดหู่ก็ยังมีความหวัง เมื่อภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงฮึดให้เศรษฐกิจรากฐานดูกระชุ่มกระชวย โดยเดือน มิ.ย. มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาเที่ยวประเทศไทย 2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และครึ่งปี 2556 การท่องเที่ยวขยายตัว 20% จำนวนนักท่องเที่ยว 12.7 ล้านคน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกจะไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินไว้ ปีนี้นักท่องเที่ยวอาจสูงถึง 24.5 ล้านคน

ทว่า หากมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองจุดติดกลายเป็นเหตุนองเลือด สวรรค์ของนักท่องเที่ยวให้เป็นสมรภูมิกลางเมืองหลวง เป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวที่วาดไว้อาจเป็นเพียงฝัน และนั่นทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวที่หดหายไป มิพ้นที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้เข้าขั้นตรีทูต

“หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน บรรยากาศการอุปโภคบริโภค หรือการใช้จ่ายในประเทศได้ ผมก็ได้แต่หวังว่าจะไม่รุนแรง ไม่ยืดเยื้อ” ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

แม้ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง หัวเรือใหญ่ทีมเศรษฐกิจ ร้องเตือนว่า การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้กิตติรัตน์ยังส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากที่ก่อนหน้านี้กิตติรัตน์อยู่ในอาการลังเล ส่วนมาตรการจะโดนใจหรือไม่ต้องติดตามดู เพราะวันนี้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านกระสุน

แต่จะว่าไปแล้วเศรษฐกิจที่อัตคัดยามนี้ หากเกิดเหตุนองเลือดจากม็อบกลางเมืองซ้ำเติม อาจจะต้องตัวใครตัวมัน ส่วนใครเป็นฝ่ายที่จุดไฟการเมือง คนก็รู้ก็เห็นอยู่ตำตาว่าเป็นใคร

ข่าวล่าสุด

สวนดุสิตโพล เปิด 5 อันดับ “นักการเมือง” ประชาชนเชียร์นั่งนายกฯ