ผู้นำใหม่ของจีน
สัปดาห์ที่ผ่านมา สีจิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งจากสภาประชาชนแห่งชาติของจีนให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทน หูจิ่นเทา ซึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 10 ปี
สัปดาห์ที่ผ่านมา สีจิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งจากสภาประชาชนแห่งชาติของจีนให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทน หูจิ่นเทา ซึ่งอยู่ในตำแหน่งมา 10 ปี
การก้าวขึ้นเป็นผู้นำอย่างเต็มตัวของเขาเป็นไปตามโผที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ (ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ) และเป็นประธานคณะกรรมการกลางการทหาร (ผู้นำสูงสุดของกองทัพ)
ในวันนี้ สีจิ้นผิง ได้ครองตำแหน่งสูงสุดทั้ง 3 ตำแหน่ง จนมีคนกล่าวขานว่าเขาได้เป็นผู้นำเบ็ดเสร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาสำหรับผู้นำใหม่ ผู้นำจีนก่อนเขา 2 คน เมื่อขึ้นมาใหม่ๆ ได้ครองเพียง 2 ตำแหน่ง คือประธานาธิบดีกับเลขาธิการพรรค ส่วนตำแหน่งผู้นำเหล่าทัพจะยังคงถูกคนเก่ายึดไว้อีกระยะหนึ่ง ส่วนหนึ่งคงเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัว แต่อีกส่วนหนึ่งเพื่อดูแลสนับสนุนลูกน้องและคนใกล้ชิด
ในวันนี้ สีจิ้นผิง น่าจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกรองจากประธานาธิบดี บารัก โอบามา ของสหรัฐ
แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ระบบการเมืองของจีนต่างจากประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
ของเราเมื่อชนะเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาล อยากจะทำอะไรก็แทบจะไม่มีใครขัดขวางได้ จะกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทโดยไม่ผ่านกระบวนการงบประมาณก็ทำได้ จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อไม่ให้คนผิดต้องรับโทษก็ทำได้ จะเปลี่ยนสีดำเป็นขาว หรือสีขาวเป็นดำ ก็ทำได้หมด
แต่ สีจิ้นผิง ไม่ได้โชคดีเหมือนผู้นำของเรา ตำแหน่งรองๆ ลงไปเขาไม่ได้เป็นคนเลือกเอง แต่มีพรรคช่วยเลือกให้ รวมทั้งคณะกรรมการที่เป็นศูนย์รวมของอำนาจ คือ คณะกรรมการ บริหารของโปลิตบูโร หรือ พีเอสซี เขาก็เป็นเพียงสมาชิก 1 ใน 7 คนเท่านั้น แม้จะถูกวางตัวให้เป็นอันดับ 1 และได้นั่งหัวโต๊ะเวลาประชุม
โครงสร้างอำนาจทางการเมืองของจีนเป็นแบบถ่วงดุล โดยอำนาจสูงสุดอยู่ในมือพีเอสซี ซึ่งมาจากการคัดเลือกภายในโปลิตบูโรที่มีอยู่ด้วยกัน 25 คน ส่วนโปลิตบูโรก็มาจากคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่ 300 คนอีกทีหนึ่ง
คนที่จะก้าวขึ้นมาในแต่ละระดับมักจะต้องมีเส้นสาย รวมทั้งมีผลงานบริหารสาขาของพรรคในระดับท้องถิ่นมาก่อน ตลอดจนต้องรู้จักเกาะกลุ่ม หาสมัครพรรคพวก และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของหมู่คณะ
ก่อนจะไต่ระดับสำเร็จมักจะต้องผ่านการต่อรองอย่างหนัก แต่เป็นการต่อรองอย่างเงียบๆ และอย่างสุภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่มีการปล่อยข่าวโจมตีกัน และหลีกเลี่ยงการทำให้พรรคเกิดความเสียหาย
กล่าวกันว่า ในจำนวนสมาชิกพีเอสซีชุดปัจจุบัน 7 คน ส่วนใหญ่สนิทสนมกับ เจียงเจ๋อหมิน อดีตผู้นำเมื่อสิบกว่าปีก่อน รองลงมาก็สนิทชิดเชื้อกับ หูจิ่นเทา ผู้เพิ่งลงจากตำแหน่ง เช่น หลี่เค่อเฉียง ซึ่งได้รับการวางตัวเป็นผู้นำอันดับ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรี
ในการจัดสรรตำแหน่งภายในรัฐบาล ตำแหน่งสำคัญๆ มักจะอยู่ในมือคนที่มีเส้นสายเช่นกัน เช่น รองนายกรัฐมนตรีอันดับ 2 ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียว คือ หลิวยานตง ครอบครัวของเธอก็สนิทแนบแน่นกับครอบครัวของ เจียงเจ๋อหมิน มากว่าครึ่งศตวรรษ ส่วนด้านประสบการณ์เธอก็เคยทำงานใกล้ชิดกับ หูจิ่นเทา มาร่วม 30 ปี
กล่าวกันอีกว่า กว่าผู้นำคนใหม่ของจีนจะมีอำนาจมากพอก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 23 ปี หลังจากได้สนับสนุนคนใกล้ชิดให้ได้รับตำแหน่งสำคัญๆ มากขึ้น
ที่ผ่านมา ผู้นำแต่ละคนมีอำนาจและบารมีไม่เท่ากัน บางคนอย่าง เหมาเจ๋อตง ก็ยิ่งใหญ่มาแต่เดิม บางคนอย่าง เติ้งเสี่ยวผิง ก็สั่งสมบารมีได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีของผู้นำประเภทนี้ พีเอสซีเป็นเพียงเสมือนตรายางให้ ต่างจากผู้นำยุคหลังซึ่งมักจะไม่มีบารมีมากขนาดนั้น
ตัว สีจิ้นผิง เองก็มาจากตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองสูงในอดีต แต่พ่อของเขาเคยเดินพลาดจนถูกขับออกจากพรรคและถูกเนรเทศไปอยู่ชนบท ตัวเขาเมื่อเติบโตขึ้น และได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค ก็ได้ประโยชน์จากเส้นสายของพ่อในอดีตในการไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฐานะทางครอบครัวของเขาดี เข้าใจว่ามีธุรกิจด้วย แต่ความพยายามขุดคุ้ยเรื่องนี้ของสำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักถูกรัฐบาลจีนต่อต้านและเซ็นเซอร์
ภารกิจเบื้องหน้าของ สีจิ้นผิง และคณะ หนักหน่วงและยากที่จะทำสำเร็จ ภารกิจที่สำคัญมีดังนี้
หนึ่ง ปราบคอร์รัปชัน เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ดูไทยเป็นตัวอย่าง ยิ่งปราบยิ่งเฟื่องฟู กลายเป็นมะเร็งร้ายที่เกาะกินทั่วทุกอวัยวะ
สอง ลดบทบาทภาครัฐ และเพิ่มบทบาทภาคเอกชน เรื่องนี้ก็คงยากไม่แพ้กัน เพราะทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ ต่างไม่มีใครอยากสูญเสียอำนาจ ดูรัฐบาลของเราเป็นตัวอย่าง ยิ่งนับวันยิ่งพยายามเข้าไปบิดเบือนกลไกตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐในระบบเศรษฐกิจ
สาม เรื่องสิ่งแวดล้อม รัฐบาลใหม่ของจีนประกาศจะไม่ยอมเอาสิ่งแวดล้อมไปแลกกับจีดีพี แต่ที่ผ่านมาสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของจีนเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว และใกล้ถึงจุดวิกฤตในหลายๆ เรื่อง เช่น ข่าวกรุงปักกิ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกควันพิษเกินค่ามาตรฐานหลายเท่า และหมูหลายพันตัวลอยอืดตายในแม่น้ำใกล้นครเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นปัญหาสังคมที่ใหญ่ที่สุดของจีนไปแล้ว อย่าว่าแต่จะทำให้ดีขึ้นเลย แค่ชะลออัตราการเสื่อมโทรมให้ช้าลงก็ยังยาก
ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมาก แต่เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงคือการลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท และระหว่างคนที่อยู่ริมทะเลกับคนที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน
บอกตรงๆ ผมนึกภาพไม่ออกว่า สีจิ้นผิง กับคณะจะลดช่องว่างสำเร็จได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าถึงจะยากแค่ไหนก็คงต้องพยายาม เพราะมันหมายถึงความอยู่รอดของระบอบและของพรรคคอมมิวนิสต์เอง


