posttoday

บริบทรอบสองการเจรจาระหว่างรัฐบาล-นปช.

30 มีนาคม 2553

สาระสำคัญในการเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

สาระสำคัญในการเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลกับแกนนำคนเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

โดย ทีมข่าวการเมือง 

บริบทรอบสองการเจรจาระหว่างรัฐบาล-นปช.

การเจรจารอบสอง ระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 18.15 น. และสิ้นสุดเวลา 20.20 น. ฝ่ายรัฐบาลประกอบด้วยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ ขณะที่ แกนนำกลุ่มนปช. คือ นายวีระ มุกสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์  นพ.เหวงโตจิราการ

นายวีระ กล่าวเริ่มต้นว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อขอคำตอบจากนายกรัฐมนตรีว่า จะยุบสภาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มนปช.หรือไม่ การเจรจาวันนี้ไม่อยากเรียกว่าว่าเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันควรจะได้ข้อสรุป นายกฯ ได้คิดและตรึกตรองในเรื่องนี้อย่างไร

นายอภิสิทธิ์    กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้ยืดหยุ่นมากกว่า แต่ยืนยันได้ว่า หากจะให้วาระผมที่เป็นรัฐบาล 1 ปี 9 เดือน ไม่ครบตามวาระ จัดให้เลือกตั้งก่อน ผมไม่มีปัญหา สิ่งที่ผมชวนช่วยกันทำ คือ ปูทางสงบไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งแก้รธน. และดูแลการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จะให้ยุบสภาภายใน 15 วัน เป็นไปไม่ได้ และเห็นว่าไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง

รัฐบาล ไม่ปฎิเสธข้อเรียกร้องการยุบสภา แต่ขอฟันธงว่า ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มนปช.ได้ เพราะไม่เชื่อว่า การยุบสภา ในวันนี้ หรือในอีก 15 วัน ผลมีค่าเท่ากันคือ ไม่เชื่อว่าจะสามารถจะแก้ไขปัญหาสถานการณ์การเมือง และเป็นทางออกของสังคมในขณะนี้ได้ 

"ได้หารือร่วมกันหลายฝ่ายรวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เห็นว่า การยุบสภาวันนี้หรือในอีก15 วันข้างหน้าก็มีค่าเท่ากัน เพราะไม่เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาหรือเป็นทางออกให้กับสังคมในขณะนี้ได้ อย่างที่ได้เรียนไปแล้วเมื่อวานนี้ รัฐบาลจะยึดแนวทางตามที่วางไว้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

จากนั้นนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. กล่าวว่า สาเหตุที่ให้ยุบสภา 15 วัน มีเหตุผล 4 ประเด็น คือ 1.เห็นว่านายกรัฐมนตรีมาโดยมิชอบ การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารไม่เหมาะสม ฉะนั้นถือว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นลาภที่ไม่ควรได้ และบอกว่าจะต้องอยู่ถึงครบวาระอีก 1 ปี 9 เดือน มันเป็นไปไม่ได้

 2.การใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มีที่มาเพราะคนไทยในช่วงนั้นอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก พร้อมระบุ เลือกตั้งก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง ทุกคนก็คาดหวังว่าจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่คณะรัฐประหารฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยและกิจสังคมก็เกิดขึ้น และสนับสนุนท่านเป็นนายก

3.การที่มวลชนมาชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าถูกจ้างมานั้นไม่เป็นความจริง แต่ ผู้มาชุมนุมทุกคนติดคำว่า 2 มาตรฐาน ซึ่งเป็นบาดแผลร้าวลึกของคนไทย

4.เมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี   1 ปี 4 เดือน เมื่อ 3 เดือนแรก พวกผมประท้วงและเชิญชวนให้ลาออกและยุบสภา หลายคนบอกเร็วเกินไป แต่บัดนี้ตั้งแต่รธน. 50 ท่านเป็นรัฐบาลนานที่สุด นับจากรัฐบาลสมัครและสมชาย บริหารประเทศโดยบกพร่อง โดยเฉพาะ กู้เงินสูงสุดในประวัติศาสตร์ คนไทยเป็นหนี้ทั้งประเทศ และการกู้เงินมาใช้จ่ายของท่าน 8 แสนล้าน เป็นการนำเงินกู้มาใช้นอกงบประมาณแผ่นดิน จึงอยู่นอกเหนือการตรวจสอบคณะกรรมาธิการ 35 คณะ จึงเกิดข้อสงสัยทุจริตหลายแสนล้านมากสุดในประวัติศาสตร์ จนเรียกว่า "กู้มาโกง" เช่น โครงการชุมชนพอเพียง ปลากระป๋องเน่า ไทยเข้มแข็งกระทรวงสาธารณสุข จัดซื้ออาวุธไร้ประสิทธิภาพ ทั้ง จีที200 เรือเหาะที่ราคาสูงกว่าเป็นจริง กระทรวงมหาดไทยที่ทุจริตสอบเข้านายอำเภอ แต่เมื่อพบว่าไม่ดำเนินการใดใดตามกฎเหล็ก 9 ข้อที่พูดเรื่องความโปร่งใสว่านักการเมืองควรมีมาตรฐานมากกว่าคนอื่น

นายจตุพร กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภาไม่เห็นด้วยเพราะเหตุผล 2 ข้อ คือ 1. เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่ท่านเป็นนายก ท่านมีแต่คำพูดว่าไม่ขัดข้อง และเป็นคนแรกที่บอกว่าต้องแก้ เป็นคนรับปากพรรคร่วม ทั้งคุณเนวิน คุณบรรหาร เมื่อตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาได้ 6 ประเด็น แต่ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นดีเห็นงาม และเมื่อบรรจุวาระเข้าสภา ก็ไม่ได้ดำเนินการใดใด ผมเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเกิดภายใต้กติกา โดยควรเสนอให้เป็นเงื่อนไขการเลือกตั้งต่อประชาชน

นายกฯ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานายจตุพรหลายเรื่อง โดยหยิบยกเรื่องที่มานายกฯมาโดยไม่ชอบ เป็นตำแหน่งลาภไม่ควรได้ เพราะมาโดยรัฐธรรมนูญไม่ชอบ  รวมถึงการออกกฎหมายกู้เงินทำให้คนเป็นหนี้  และเรื่องอื่นๆ

บริบทรอบสองการเจรจาระหว่างรัฐบาล-นปช.

นายกฯ   กล่าวว่า หลายเรื่องที่นายจตุพรกล่าว เป็นเรื่องเท็จ   แต่วันนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกัน  ขอชี้แจง ประเด็นแรกนายกฯมาโดยไม่ชอบ  อยากบอกว่า ประเทศไทยในอดีตหรือประเทศอื่นมีข้อจำกัดมากกว่านี้     การเลือกนายกฯในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันค่อนข้างพิเศษด้วยซ้ำ  สมัยก่อน เชิญมาพูดในพรรค หัวหน้าพรรคมาบังคับลงมติ   แต่รัฐธรรมนูญ ระบุมีเอกสิทธิ์เลือกนายกฯ  ลงมติไม่เหมือนพรรคได้   

“สำคัญกว่านั้นรัฐบาลดำรงตำแหน่งตามวาระ ตามกระบวนการรัฐสภา   พรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายก็แล้ว การพิจารณาในสภาก็ดำเนินการกันมา  การเลือกตั้งซ่อมก็มีมา 30 กว่าเขตชนะ 20 กว่าเขต แต่ละประเด็นเถียงกันไม่จบ  แต่ที่บอกมาไม่ถูกต้อง ลาภไม่ควรได้ก็แล้วแต่   ถ้าบอกรัฐธรรมนูญไม่ชอบ แล้วลงเลือกตั้งทำไม ตำแหน่งส.ส.ก็เป็นลาภไม่ควรได้เช่นกัน     เห็นท่านใช้เอกสิทธิ์ส.ส.ทุกประการ  เมื่อเล่นตามกติกาแต่มาว่าไม่เป็นไปตามกติกา ก็น่าคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลัวเรื่องทุจริตเลือกตั้ง   รัฐบาลมาแล้วพบว่าเสียงได้มาโดยมิชอบ เขาก็ถือว่าถ้าใช้หลักลาภไม่ควรได้ก็เปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้เหมือนกัน     ถ้าอยู่ดีๆบอกเราปฏิบัติกันมา 2 ปี 3 เดือนว่าทำไม่ถูกต้อง   ก็เป็นเหตุผลที่แปลก” นายกฯ กล่าว

ประเด็นที่สองรัฐธรรมนูญ  ขอย้ำอีกครั้ง ผมเป็นคนพูดรับร่างรัฐธรรมนูญแล้วแก้ไข    กติกาวางไว้ก็ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นนิติรัฐ  บอกไม่ยอมรับผลของสภา ไม่ยอมรับผลของรธน.  บางทีเราเลือกตามใจชอบ ไม่ยอมรับรัฐบาล เขาก็เรียกสองมาตรฐานเหมือนกัน

ประเด็นสองมาตรฐาน กรณีเรื่องเดียวกัน ใช้หลักปฏิบัติไม่เหมือนกัน ตอนที่พูดเรื่องนี้ปี 45  เห็นได้ชัด  คดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  กับคดีคุณประยุทธ์ มหากิจศิริ  พฤติกรรมคล้ายกันปิดบังทรัพย์สินอยู่ในชื่อภรรยา มีการลงโทษคุณประยุทธ์     แต่กรณีพ.ต.ท. ทักษิณบอกภรรยาไม่เกี่ยวข้องตัดสินว่าพ.ต.ท.ทักษิณผิด     ที่วิจารณ์กันมากว่าสองมาตรฐาน   วันนั้นรู้สึกสองมาตรฐานไหม แต่เราก็ต้องดำรงความถูกต้องของศาล   วันหนึ่งเราเริ่มพูดว่าคดีนี้ศาลใช้ได้ คดีนี้ต้องออกมาต่อต้าน สุดท้ายระบบบ้านเมืองไม่เหลือ  หรือกรณีคลิปเสียงที่ท่านกล่าวหานายกฯสั่งฆ่าประชาชน  ตนเองก็บอกว่าแปลก ที่ศาลประทับรับฟัองหลายคดี   ถ้าคดีถูกใจท่านบอกต้องฟังศาล   ถ้าไม่ถูกใจก็บอกว่าสองมาตรฐาน 

สองมาตรฐานขณะนี้ ที่หยิบยกไปอ้างบางคดีไม่ดำเนินการ  บางคดีเพิกเฉย  ไม่เร่งรีบ  ซึ่งข้อเท็จจริงคดีไหนยากก็นาน อย่างคดีคุณจักรภพ เพ็ญแข   เกิดขึ้นนานแล้ว พนักงานสอบสวนติดขัดขั้นตอน อะไรก็ดำเนินการไป  ส่วนคดีเกี่ยวกับการชุมนุม สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลดำเนินการก็ออกหมายจับแล้ว บางคดีอยู่ขั้นตอนออกหมายเรียก   บางคดีเสร็จไปแล้ว คุมขังไปแล้ว  เช่นกลุ่มพันธมิตรฯบุกสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที    มีการดำเนินคดีในยุครัฐบาลนี้ทั้งนั้น  ส่วนคดีเม.ย.ปีที่แล้วมีการล้อมกรอบ ทุบรถตนเองก็ว่าไปตามปกติ ไม่เคยยุ่ง ใช้เวลานานเท่าไหร่ รัฐบาลไม่ควรเข้าไปยุ่ง ถ้าจะสั่งการให้รายงานความคืบหน้าคดีที่อยู่ในความสนใจประชาชน เพราะฉนั้นการหยิบเรื่องใดขึ้นมา เป็นสิ่งเติมเชื้อความขัดแย้ง ตนเองพยายามบอกว่า มันเกินเลยเรื่องยุบสภาไปเยอะ จึงบอกมีกระบวนการทำความเข้าใจกันนำไปสู่แก้ปัญหา

ส่วนเรื่องจุกจิก หยิบยกเรื่องอภิปรายในสภามาพูด   เช่นข้อตกลงอาฟต้า ข้อตกลงนานแล้ว สินค้าเกษตรรัฐบาลชุดนี้ก็สงวนไว้ 3 ชนิด    ยังไม้เข้าอาฟต้า ต้องไปดูข้อเท็จจริงก่อนที่จะพูด   ก็งงอยู่เหมิอนกันที่หยิบยกขึ้นมา หรือกรณีการกู้เงินนอกงบประมาณ มีการออกพรก.4แสนล้านบาท   ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าเร่งด่วนฟื้นเศรษฐกิจ   หลายคนปรามาสว่าฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้  แต่น่าสนใจเราวางกรอบไว้ว่า น่ากู้ไว้ 8 แสนล้านบาท  ตนเองตัดสินใจว่า ถ้าออกพรก. 8 แสนล้านบาทเกินเลยไปศักยภาพไม่เร็วขนาดนั้น  ออกเป็นพรก.ส่วนหนึ่ง  ออกเป็นพรบ.ส่วนหนึ่ง  

เพราะฉนั้นพรก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ถามว่ามากไหม  ถ้าจะพูดกันเรื่องจำนวนมาก คือสมัยรัฐบาลทักษิณมีการออกพรก.เจ็ดแสนสี่หมื่นล้าน ก็จำเป็นต้องกู้ ตนเองไม่ได้ติดใจ แต่ปัจจุบันรัฐบาลไม่มีภาระหนี้สิน  และสามารถลดได้ตามกระบวนการคลัง  ปกติ ไม่ได้ทำให้หนี้ประชาชนเพิ่ม ต้องเอาความจริงมาพูด

ประเด็นเรื่องการทุจริต   เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย   ถามผมว่าเมื่อมาเป็นนายกฯมีเรื่องทุจริตไหม    ก็เชื่อว่ามีทุจริตแน่นอน แต่ความต่างอยู่การจัดการปัญหาทุจริตหรือไม่    กรณีนายวิทูรย์ นามบุตร อดีตรมว.พัฒนาสังคม ฯ  นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข   นายมานิต นพอมรบดี  อดีตรมช.สาธารณสุข    แสดงความรับผิดชอบ เป็นบรรทัดฐานใหม่ที่เกิดขึ้น

“ไม่เหมือนบางบุคคล  ไม่สนใจใยดี และทุจริตยึดทรัพย์ลาภไม่ควรได้ทำไมไม่ควรพูด   และแสดงบริสุทธิ์ใจให้ตรวจสอบก่อน ทำไมไม่ได้ทำ หรือกรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200  ถามว่าเกิดขึ้นยุคไหนครับ  สมัยอดีตนายกฯทักษิณครับ   ซึ่งขณะนี้ก็เป็นไปตามกระบวนการติดตามสอบสวน  จะมาบอกไม่ดำเนิการคงไม่ใช่  อย่างกระทรวงสาธารสุข  บอกอยากให้มีการตั้งกรรมการอสิระ ก็ตั้งให้  ประเด็นการซื้อขายตำรวจ ผมก็ตั้งกรรมการ กรณีชุมชุนพอเพียงสอบพบสมาชิกพรรคก็ดำเนิกการไปก่อน    กรณีคนอื่นส่งปปช.    กรณีเลขานายกฯ ก็ลาออกมาและเอาคนใหม่ เข้าไปทำ

“ถ้าผลสอบออกมาว่า มีมูลทุจริตแม้แต่ตำแหน่งเลขาก็ไม่ให้เป็น   ขึ้นอยู่กับแต่ละเรื่องช่องทางร้องเรียนสอบอยู่ที่ไหน  อย่างกรณีทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอกระทรวงมหาดไทย    ปปช.สอบอยู่ ในชั้นอนุกรรมการสอบสวน ผลออกมาดำเนินการแน่ไม่ต้องห่วง “ นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า  การแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ตนเอง บอกแก้ได้และควรแก้บางประเด็น  เช่นความไม่สอดคล้องที่มาสว. หรือมาตรา 190  และพูดตลอดว่าอย่าแก้ประเด็นละเอียดอ่อน   แก้แล้วเอาประโยชน์ให้ตัวเอง ล้างความผิดคนทุจริต  คนที่พูดเรื่องนี้ เราชัดเจนลักษณะนี้    และกระแสที่ต่อต้านก็คือมุ่งอยู่ 2 เรื่องนี้ 

“ ที่บอกว่าผมรับปากแก้ไข  ผมคุยชัดเจนตอนตั้งรัฐบาล  เช่นทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  ประเด็นนิรโทษกรรม ล้างความผิด ไมเอานะ แต่ทิ้งไว้บางส่วนว่าถ้าเป็นความผิดการเมืองอาจเปลี่ยนได้  แต่ความผิดอาญาไม่ได้  และเขตใหญ่ เขตเล็กมาคุยกันเพราะพรรคเห็นไม่ตรงกัน” นายกฯ กล่าว 

นายกฯ   กล่าวว่า พอมีการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปีที่แล้วเมื่อเดือนเม.ย.  ก็มีการตั้งกรรมการโดยมีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธาน   มีรายงานผลการแก้ไขรธน.เยอะมาก ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และมีประเด็น บางอย่างเห็นตรงกันหมด ได้ย้ำไม่ได้อยากแก้  6 ประเด็นเสนอมา เชิญวิปทุกฝ่ายเอาไปทำประชามติเสีย   เมื่อบ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจเดินได้  ก็ยุบสภาก็ได้หารือวิป ที่ทำเนียบ มีฝ่ายค้าน  แต่ต่อมาฝ่ายค้านไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย เมื่อไม่ทำก็ไม่แน่ใจจะสมานฉันท์  ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือฝ่ายท่าน จึงไม่ควรกล่าวหารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการ

ส่วนมาตรา 309 มีการตีความว่านิรโทษกรรมหรือเปล่า และอดีตนายกฯสมัคร   บอกว่าอย่าพูดเลยมาตรานี้ เพราะฉนั้นการจะบอกว่า ทุกคนเห็นพ้องต้องกันอยากแก้  คนใดไม่พยายามแก้คงไม่ใช่   หรือที่พวกท่านพูดเกินเลยไปถึงหมวดพระมหากษัตริย์    นี่ไง ถึงบอกว่ายังมีหลายประเด็นมีปมขัดแย้งทางสังคมและยุบสภาจะขัดแย้งมากยิ่งขึ้น บางประเด็นมีละเอียดอ่อนมาก

นายกฯ กล่าวว่า กรณีพล.ต.อ.สมเพียร  ข้อเท็จจริง  ท่านมาทำเนียบวันอังคาร ปกติมาร้องขอความเป็นธรรมเยอะ ปกติประชุมครม.ไม่มีโอกาสรับหนังสือใครเลย   ท่านยื่นหนังสือไว้ และประชุม กตร. ตนเองไม่ได้เป็นประธาน หยิบยกขึ้น แต่การย้ายข้ามขั้น แต่ติดขัดเกิดเหตุเสียใจ แต่กตร.ให้ความเห็นชอบ เยียวยาความเป็นธรรมแล้ว การหยิบยกเรื่องนี้ทุกคนสะเทือนใจทั้งสิ้น

นายกฯ กล่าวว่า อยากให้ไปสอบถามคนส่วนใหญ่ได้ว่ากี่คนที่เชื่อว่าเลือกตั้งจะสงบภายใต้บรรยากาศบ้านเมืองอย่างนี้  ถึงแม้พวกท่านจะเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ ท่านคุมทุกอย่างพยายามทุกอย่างผมไม่คิดหรอกครับว่าความเป็นจริงควบคุมได้ ตอบได้ไหมครับ เม.ย.มีการล้อมกรอบที่กระทรวงมหาดไทย   อันนั้นแดงแท้หรือแดงเทียม แกนนำที่ยืนอยู่บนรถหน้ากระทรวงมหาดไทยเป็นคนของท่านหรือไม่ครับ  ไม่มีแม้แต่ห้ามปรามเลย

“ถ้าเป็นแดงเทียมต้องบอกหยุดไม่ใช่แนวทางเสื้อแดง แต่ระดมคนเสื้อแดงมากขึ้น อันนั้นคือเจตนา  เพราะพูดว่า ถ้าผมอยู่คิดใช้ทหารล้อมปราบ  การสั่งการให้ความสำคัญสูงสุดกับชีวิตประชาชนแต่สิ่งที่ผมถูกกระทำ ท่านคำนึงสิทธิเสรีภาพหรือไม่ แกนนำประกาศเอาชีวิตพวกผม พวกผมสั่งการทหารตำรวจระวังต่อชีวิตประชาชน  มีเฉพาะโล่ห์ และกระบอง” นายกฯ กล่าว 

นายกฯ กล่าวว่า    อารมณ์คนรุนแรงซึ่งต้องใช้เวลาปรับอารมณ์  เช่นเดียวกัน มีคนจำนวนมากรู้สึกอารมณ์รุนแรงเกี่ยวกับพวกท่านเหมือนกัน ถามว่า ผมจะบอกเขาว่าอย่างไร อดทนอดกลั้นอย่าทำอะไรให้เกิดการปะทะกัน แต่ถามว่าสามารถห้ามทุกคนได้ไหม ซึ่งตนเองอาจเก่งไม่เท่าท่าน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา เมื่อ นายจตุพร พยายามกล่าวสอดแทรกนายกฯ โดยเฉพาะประเด็นเหตุการณ์เม.ย.ปีที่แล้วที่คนเสื้อแดงไปบุกกระทรวงมหาดไทย  ทั้งนี้นายกฯยืนยันถึงการอยู่ในรถโดยมีคนเสื้อแเดงเข้าทำร้าย และถามว่าเป็นแดงแท้หรือแดงเทียมทำให้นายจตุพรถึงกับออกมาตอบโต้อีกครั้ง   โดยชี้หน้านายกฯ และยังยืนยันนายกฯไม่ได้อยู่ในรถ ทำให้สื่อที่เกาะติดรายงานข่าวอยู่ด้านนอกติดตามชมการเจรจาต่างพร้อมใจกัน โห่ ร้องพฤติกรรมนายจตุพร  และมีการวิจารณ์ว่านี่เป็นการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลนอกสภาไม่ใช่การ เจรจาเพื่อ หาข้อยุติ

หลังจากนั้น นพ.เหวง  ได้จังหวะนำภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.มากล่าวหา รรัฐบาลอีกครั้งว่าใช้ทหารยิงทำร้ายประชาชน  และ กล่าวถึงท่าทีนายกฯที่ตอบโต้นายจตุพร ว่าเป็นพฤติกรรมตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่ามีความขัดแย้งทางการเมือง   จนทำให้นายวีระเสนอขึ้นมาให้มีเจรจากันต่อ

นายกฯ กล่าวว่า “ผมยืนยันว่าไม่ได้บอกว่าจะครบวาระหนึ่งปีเก้าเดือน   ไม่มีความปรารถนา ให้เกิดปะทะเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน หรือประชาชนกับประชาชน   ช่วงก่อนผมเป็นรัฐบาลมีเกือบทุกรูปแบบ   ชาวบ้านสองฝ่ายตีกัน   ระเบิดใส่ผู้ชุมนุมก็มี    ไม่ว่าผมจะอยู่ฝ่ายไหน ไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้น “

นายกฯ กล่าวว่า ได้ฟังอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต้องยุบสภาภายใน  15 วัน บางคนห่วงเศรษฐกิจ  ความรุนแรง  บางคนบอกไม่ถูกต้องใช้กำลังข่มขู่ให้ยุบสภา   ซึ่งก็ไม่อยากพูดอย่างนั้นเพราะเห็นว่าตามกรอบรธน. สิทธิในการชุมนุม  แต่อยู่ไม่ได้ถ้าปิดล้อมอย่างนั้นก็ล้ำเส้น   หลายเรื่องท่านอ้างต่างประเทศ ประเทศส่วนใหญ่ การลงคะแนนในสภา เป็นอิสระ ไม่มีมติพรรคการเมือง ประเทศส่วนใหญ่กฎหมายชุมนุมใช้สิทธิข่มขู่คุกคาม  หลายประเทศแม่แบบประชาธิปไตย   ถ้ามีการกระทำให้เกิดความกลัวก็ผิดกฎหมาย 

ท่านเสนอมาก่อนหน้านี้ให้ยุบสภาทันทีต่อมาเปลี่ยนมาเป็น 15 วันยุบสภา    ผมบอกว่าไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่ยินดีจัดเลือกตั้งโดยไม่อยู่ครบวาระ  โดยพื้นฐานทำความเข้าใจว่าสังคมนี้ทำร่วมกัน   ไปสู่การยุบยสภาซึ่งเป็นทางออกดีที่สุด ถ้าท่านสนใจอะไรบ้างต้องทำมาแล้วมาพูดคุย  แต่เมื่อยืนยัน 15 วันต้องยุบสภา ก็ไม่จบ

นายอภิสิทธิ์  กล่าวว่า วาระรัฐบาล เหลือ 1 ปี 9 เดือน  ถามว่า อยากเห็นอะไรก่อนเลือกตั้ง  1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ  2. การทำกติกา 3. บรรยากาศบ้านเมืองให้เป็นปกติ    สำหรับเรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้วค่อนข้างจะดี  แต่ว่าครึ่งเดือนแรกกระทบนิดหน่อย มีปัญหาเรื่องท่องเที่ยวอยู่บ้าง  คุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ข้าราชการ   เขามองว่าให้ปฏิทินงบประมารณเดินตามปกติได้ไหม    2.เรื่องกติกา ลองมาดูแล้วว่ า ถ้าประกาศทำประชามติ สมมติมีประเด็นไหนแก้ไข  ก็ทำในสภาให้ดำเนินการ   พอทำเสร็จแล้วกฎหมายต่างๆรับแล้วก็เป็นกรอบเวลา  3.  สิ่งที่คุยคือทำบรรยากาศบ้านเมืองให้เป็นปกติ ฝ่ายท่านทำหน้าที่ตรวจสอบ ก็ตรวจสอบได้ ชุมนุมก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดไม่ปิดล้อม   ใครผิดกฎหมายก็ถูกดำเนินคดี แกนนำบางท่านก็ถูกดำเนินคดี   จากนั้นฝ่ายรัฐบาลก็ทำงาน  ฝ่ายค้านก็ทำงาน

นายกฯ  กล่าวว่า ปฏิทินงบประมาณชงักมีปัญหา ตารางปฏิทินงบประมาณถูกกระทบ งบช่วงแรกตุลาคมผิดไปจะใช้งบผิดปกติ     เรื่องรัฐธรรมนูญช้าเร็วไม่ได้อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะเอาจริงกับสภาหรือไม่   วันนี้จะเอาชัดๆ ให้ประชาชนลงประชามติ ประชาชนที่อยากแก้ประเด็นไหน นำมาวางไปเลยประชาชนลงประชามติ  ทุกพรรคยอมรับตามนั้น   ไม่เหมือนยุบสภาไปเลือกตั้ง  ไปถามทุกพรรคก็บอกแก้รัฐธรรมนูญก่อนอีก    และมีกลุ่มไม่เห็นด้วยให้ยุบสภา  เพราะฉนั้นกระบวนการประชามติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นไหน  จากนั้นก็แก้ไขรัฐธรรมนูญใช้เวลากัน    ส่วนบรรยากาศบ้านเมือง เรื่องประชามติจะเป็นบทพิสูจน์ระดับหนึ่ง การประชามติไม่พูดลอยๆ   ไม่สามารถพูดถึงคนหนึ่งเสียงที่นอกโต๊ะนี้ ได้ ถ้าร่วมแรงร่วมใจก็ทำได้    เพราะฉนั้นกรอบปลายปีก็อยู่ในกรอบนี้

นายกฯ กล่าวว่า ถามว่านายกฯเสียสละไหม ความจริงรัฐบาลมีวาระเหลือ 1 ปี 9 เดือน   ถ้าพูดยุบสภาปลายปีนี้ ก็ถือว่าเฉือนไปแล้วหนึ่งปี  ที่ผมย้ำตลอด คนบางกลุ่มมองว่าเรามาตกลงได้อย่างไร   เรียนว่าสมมติไปประชามติยุบไม่ยุบสภา  แต่ถ้าสำรวจความคิดเห็นประชาชนไม่มั่นใจให้ยุบสภา  ดีไม่ดีการให้ยุบสภาอาจเป็นเสียงส่วนน้อย  ประเด็นนี้ไม่อยากเถียงท่าน  อยากหาจุดกลางๆ คนสนับสนุนไม่ควรยุบสภา ไม่เห็นด้วยชุมนุม เพราะวันข้างหน้าชุมนุมบ้าง ไม่ควรเถียงเขา แต่ถ้าเรากำหนดกรอบอย่างนี้ ก็พูดคุยกันได้ 

บริบทรอบสองการเจรจาระหว่างรัฐบาล-นปช.

นายวีระ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องความเชื่อ ฝ่ายเสื้อแดงเห็นว่า ให้เวลาเท่าไรก็ไม่ดี รอไม่ได้ รัฐสภาไม่เป็นที่พึ่งแล้ว ให้มันเป็นไปตามประชามติด้วย จะเอากติกาแบบไหน บรรยากาศการเมืองเราสร้างกันได้ ถ้าคู่ขัดแย้งเสื้อแดงสร้างแดงแต่ไม่ใช้เหตุผล 3 ประการ แล้วมามัด 15 วันไม่ได้ การเสนอกรอบเวลาเลยงบประมาณมันจะยาวไป ไม่เอาใจผมก็ได้ นักวิชาการ 3 เดือน ไม่ใช่ข้อเสนอของผม กรอบกติกามันไม่ควรจะยาวนานไปถึง 6 เดือนหรอกแค่ 2 เดือนก็ทำได้ สภาพึ่งไม่ได้ แค่รัฐบาลไปจี้ให้ทำ ไม่อย่างนั้นเถียงกันอยู่นั้นไม่จบ ไกลเกินความเป็นจริง ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ท่านต้องเห็นใจพวกผมหน่อย เขามาถูกสิทธิของเขา ขอคืนสิทธิไปตัดสินใจอนาคตการเมืองของเขา ต้องการความเสียสละจากท่าน ถ้าท่านเสียสละตรงนี้เป็นเกียรติยศ บังเอิญมาพูดที่สถาบันพระปกเกล้า หรือคิดถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้ายินดีสละอำนาจให้เป็นของปวงชนชาวไทย  ยอม เจ็บปวดให้สิทธิประชาชน วันนี้คนเสื้อแดงมาขอความเสียสละจากนายกฯ ไม่ต้อง 15 วันหรอก มันก็เป็นการเสียสละ

นายกฯ  กล่าวว่า ที่พูดถึงปฏิทิน เราบังเอิญอยู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจการฟื้นตัวยังไม่แข็งแรง ผมประกาศไว้ที่ทำพรบ.4 แสนไม่ทำตามนั้นหรอก งบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี กฎหมายให้ใช้ของเก่าไปก่อนได้ใช้ปีก่อนได้ ส่วนที่จะเพิ่มให้รอปีใหม่ แต่บังเอิญตอนเข้ามารายได้หายไป 2 แสนล้าน ถ้าบอกให้ใช้งบนี้ไปพลางก่อนเดือดร้อนกันมา งบประมาณที่มีต้องออกไปประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ ถ้าตรงนี้ชะงักก็ส่งผลกระทบได้

นายจตุพร กล่าวว่า เงื่อนไขประเด็นเศรษฐกิจจะมาผูกมัดรวมไม่ได้ เวลาที่เหลือจากนี้ไป 9 เดือนเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือไม่ มันซ้ำซาก มันจะไม่พบความสำเร็จ ยิ่งขัดแย้งกว่าเดิม ถ้าต้องการให้สถานการณ์ปกติเป็นเรื่องที่น่ารับฟัง ทั้ง 3 อย่างที่จะลากไปเป็นเรื่องที่ยาวนาน การที่ท่านจะเสียสละ หรือไม่เสียสละเป็นเรื่องสำคัญอยู่ นายกฯต้องใช้ชีวิตปกติ ถ้าเราหาจุดความไม่พอดีกัน การเรียกร้องของเราไปวัดผลการเลือกตั้ง ถ้าท่านมั่นใจคนไม่เอาด้วย ควบคุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จ คู่แข็งย่อมเสียเปรียบ บรรยากาศบ้านเมืองกลับมาสู่ปกติ สิ้นปีรับไม่ได้

นายกฯ กล่าวว่า ย้ำอีกครั้ง เรื่องทำเศรษฐกิจดีไม่ดี ดูตารางรัฐบาล ช่วงแรกตุลาฯเป็นต้นไป ต้องใช้งบไม่ปกติ ประชาชนส่วนหนึ่งก็เป็นห่วงเรื่องนี้ เรื่องรัฐธรรมนูญ แก้รัฐธรรมนูญวาระ 1,2,3 ไม่เกิน 1 ปี 9 เดือน วิธีที่เราจะทำคือ ทำประชามติชัดเจน ไม่ใช่ทำแล้วไปเถียงกัน เวลาไปถามต้องแน่ชัด มีสรุปสาระง่ายๆ คณะทำงานสภาทำไว้แล้ว ไม่เกี่ยวพรรคร่วมประชามติเอาอย่างไงก็เอาอย่างนั้น ถ้าต้องการของประชาชนผ่านประชามติเป็นอย่างไงก็อย่างนั้น

นายกฯ กล่าวว่า เป็นกระบวนการที่ดีมาก เข้ามายอมรับคะแนน คะแนนนิยมไม่ติดใจ เลขาธิการพรรคผมมีความรับผิดชอบ ทุกพรรคอยากชนะทั้งนั้นไม่ติดใจ ผมตัดสินใจการเลือกตั้งเอาผลประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง ผมตัดวาระลงมา ฟังคนเสื้อแดง แล้วมาฟังอะไรดีที่สุดกับประชาชน ผมร่นให้  1 ปี 

จากนั้นนายวีระ ตัดบทว่า  รอเสนอถ้า 15 วันมันไม่ไหว รอเสนอมากี่วันมาว่า เท่าไร

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า เรามานั่งคุยตรงนี้เพื่อหาข้อยุติ บอกเคารพก็ไม่รู้เคารพจริงไหม ประเด็นมีว่า ในเมื่อเราไม่เชื่อกัน ผมก็ไม่รู้ยังไง ทำยังไงเราก็ต้องตกลงกัน ผมบอกว่าภายใน 9 เดือน สิ้นปี ไม่เชื่อ ไม่รู้เชื่อใคร เพราะมันไม่เชื่อเท่านั้นเอง เรามานั่งคุยกันเพื่อประเทศไทย ไม่ใช่เพื่ออภิสิทธิ์เป็นนายกฯอีก ไม่เชื่อเพื่อเป็นรัฐบาล อย่าปฎิเสธเร็วๆ ท่านบอกว่า 15 วันบอกว่าทำไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าปัญหาบ้านเมืองที่หนักหนาจะจบได้ภายใน 2 สัปดาห์ ถ้าหากท่านอยากให้จบเพื่อประเทศไทย เรามาทดสอบเราเชื่อใจกันได้ไหม เราเริ่มว่าไปหาประชาชน เอาประชามติเป็นหลัก เอาเรื่องรธน. บอกมีหลายประเด็น เอา 6 ข้อไปหาประชาชน ท่านมีเสื้อสีแดงกี่คน สีอื่นกี่คน ไม่มีสี่อีกกี่คนเชื่อเป็นล้าน ใน 120 วัน หรือ 4 เดือน ใครผิดกติกาก่อน กติกาคือพวกผมไปทำที่ผิดกฎหมายไปสลายการชุมนุมไม่ได้

“ 4 เดือนทำเสร็จ ท้ายสุดเบี้ยวกันเดือนแรกก็จบแล้ว ไปไม่รอด เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ 6 คนตัดสินใจ แล้วมาคุยกัน พี่น้องทางบ้าน ไม่ว่าเสื้อสีอะไรก็ต้องพอใจทุกฝ่าย” นายกฯ กล่าวและพูดทีเล่นทีจริงขึ้นมาว่า   หรือจะให้ประชาชนลงประชามติยุบสภาหรือไม่ยุบเลยดีไหม ทำให้แกนนำเงียบไปครู่หนึ่งไม่กล้ารับคำท้า

จากนั้น  นายกฯ กล่าวว่า  จะคุยกันนอกรอบอีกครั้งก็ได้ และรัฐบาลพร้อมยินดีเจรจา ตนเองไปต่างประเทศจะกลับมาอีกครั้งวันพฤหัสบดี แต่อยากให้รักษาบรรยากาศอย่างนี้ไว้ อย่างไรก็ตาม นาย จตุพร กล่าวว่า พวกผมอยู่กับประชาชน พวกผมต้องไปถามผู้ชุมนุมจะเอาอย่างไรกันต่อ ขณะที่ นายกฯ กล่าวว่า ฝ่ายผมก็ยินดีนัดหมาย
 

ข่าวล่าสุด

กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังและเตรียมเครื่องจักรรับมือฝนหนักภาคใต้ 11–15 ธ.ค. นี้