posttoday

ชำแหละ "สมุดปกเขียวจำนำข้าว"

05 พฤศจิกายน 2555

สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์สั่งการให้มีการแจกจ่ายสมุดปกเขียวเรื่อง “รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว”

โดย...จตุพล สันตะกิจ

สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์สั่งการให้มีการแจกจ่ายสมุดปกเขียวเรื่อง “รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว” โดยตั้งเป้าแจกหนังสือขนาด 20 หน้านี้ ให้ถึงมือประชาชนและชาวนา รวมถึงสื่อสารมวลชน ล็อตแรก 5 แสนเล่ม ชี้แจงโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดของรัฐบาล ท่ามกลางการเข้าสู่โหมดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และกระแสโจมตีจากนักวิชาการ

ไม่ใช่ว่าจะคัดค้านโครงการนี้ไปเสียทุกเรื่อง

แต่ทว่าเมื่อพลิกไปดูสมุดปกเขียวที่ว่านี้พบว่ามีข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะแทนที่เผยข้อเท็จจริงที่ประชาชนที่เสียภาษีได้หายกังขาในโครงการนี้ กลับพบเงื่อนปมข้อสงสัยมากกว่า

เมื่อจับทีละประเด็น ไล่ตั้งแต่หน้า 15 ที่ระบุว่า ทำไมจึงต้องรับจำนำข้าว

คณะผู้จัดทำระบุว่า ชาวนามีพื้นที่ปลูกข้าว 21 ไร่ต่อครัวเรือน ทำนาปีละ 2 รอบ ได้ผลผลิตรวม 23.058 ตันต่อครัวเรือน พร้อมนำราคาข้าวเปลือก ณ เดือน ต.ค. 2554 มาคูณผลผลิต ลบต้นทุน หารด้วยจำนวนแรงงานในครัวเรือน

พบว่ารายได้ของชาวนาอยู่ที่ 12,379 บาทต่อปี หรือ 1,033 บาทต่อเดือน นั่นทำให้ชาวนามีรายได้ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ หากปล่อยไว้ให้เป็นไปตามกลไกตลาดพี่น้องเกษตรกรไทยคงหนีไม่พ้นวัฏจักรความยากจน

แต่ในความเป็นจริง คือ ชาวนาไม่ได้มีที่ดินเป็นของตัวเอง 21 ไร่ต่อครัวเรือน

“การถือครองสินทรัพย์และที่ดินพบว่า 90% กระจุกตัวอยู่ที่คนเพียง 10% เกษตรกรรายย่อยไม่น้อยกว่า 8.11 แสนครัวเรือน ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง และมีครัวเรือน 1.5 ล้านครัวเรือนที่ต้องเช่าที่ดิน” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 หรือปี 2550-2554 ระบุ

คงไม่ต้องบอกว่าเงินภาษีถมไปกับโครงการยกแรก 3.1 แสนล้านบาท ตกอยู่กับใคร ประโยคในหน้าที่ 10 ที่ระบุว่า “ผลการดำเนินงานปรากฏว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยเกษตรกรต่างได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า”

จึงเป็นการโกหกคำโต

ถัดมาหน้าที่ 11 บอกว่า โครงการรับจำนำข้าวทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น แม้ถูกโรงสีหักค่าความชื้นและสิ่งเจือปน “เกินจริง” ยังเหลือเงิน 12,000-13,500 บาท

ชาวนาต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เพียงแต่เงินถึงมือชาวนาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยตกหล่นกลาง

หนังสือหน้าที่ 7 ยังระบุว่า เกษตรกรนำข้าวมาจำนำแล้วไม่ได้เท่ากับที่ได้มีการประกาศไว้ เพราะต้องหักลดความชื้นตามมาตรฐาน แต่ประเด็น คือ เมื่อชาวนาเสียค่าขนส่งข้าวเปลือกมาถึงโรงสีเพื่อเข้าโครงการ 200-300 บาทต่อตัน หากโรงสีโกงค่าความชื้นให้สูงขึ้น หักนั่นหักนี่ ถ้าชาวนาไม่พอใจจะขนข้าวไปโรงสีอื่นหรือไม่

เหมือนกับให้ชาวนาทำใจรับสภาพถูกโกงหน้าด้านๆ

ส่วนการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ก็ทำได้แค่ระบายความคับข้องใจ เพราะไม่เห็นมีการเอาจริงเอาจังให้เป็นที่ปรากฏชัดเจน

“โรงสีที่เข้าโครงการมีต้นทุนใต้โต๊ะ ลำพังจะรับเฉพาะค่าจ้างสีแปรสภาพข้าว ค่าเก็บข้าว อยู่ไม่ได้ จึงต้องมีรายได้ทางอื่นด้วย ส่วน 5 เสือที่ให้เฝ้าทำประชาคมก็เป็นลูกบ้านคนกันเองทั้งนั้น ขณะที่ 5 สิงห์ที่รัฐสั่งไปเฝ้าโรงสี เจ้าของโรงสีเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีก็ออกลูกเกรงใจ มองอะไรไม่เห็น” แหล่งข่าวกระทรวงเกษตรฯ ระบุ

ส่วนการประเมินว่าชาวนา “ที่ร่วม” โครงการมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง 127,498 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ 18.2 ล้านตัน ในราคาที่เพิ่มขึ้น 5,800-8,000 บาทต่อตัน

ทั้งมีการรายงานเช่นกันว่า ชาวนา “ที่ไม่ได้ร่วม” โครงการได้ประโยชน์และมีรายได้เพิ่มขึ้น 57,291 ล้านบาท จากการขายข้าวเปลือกเจ้าเพิ่มจาก 8,000-9,000 บาทต่อตัน เป็น 9,900-12,000บาทต่อตัน และข้าวเปลือกหอมมะลิ จาก12,000-13,000 บาทต่อตัน เป็น 15,000-16,000 บาทต่อตัน โดยมีปริมาณข้าวนอกโครงการ 19.09 ล้านตัน

เป็นที่มาว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทำให้เกษตรกรทั้งระบบมีรายได้เพิ่มขึ้น 184,789ล้านบาท

แต่นั่นเท่ากับว่าการผลิตข้าวเปลือกนาปี และนาปรัง ปีการผลิต 2554/2555 ไทยผลิตข้าวได้สูงถึง 37.302 ล้านตัน

ขัดแย้งกับข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า พื้นที่ปลูกข้าวนาปี 2554/2555มี 61 ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 381 กิโลกรัมต่อไร่ เพราะถัวเฉลี่ยผลผลิตข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว และข้าวเปลือกเจ้าที่ผลผลิตต่อไร่ต่างกัน ส่วนพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังมี 17 ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 662 กิโลกรัมต่อไร่ เพราะส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกเจ้า

ดังนั้น ไทยจึงผลิตข้าวเปลือกได้มากสุด 34.495 ล้านตัน

แต่ต้องไม่ลืมว่าไตรมาส 3 ของปี 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายนับล้านไร่ ทำให้ข้าวเปลือกนาปี ปี 2554/2555 ที่คาดว่าจะเข้าโครงการ 25 ล้านตัน ลดลงเหลือ 6.95 ล้านตัน แม้มีการปลูกทดแทน แต่มีข้าวเปลือกนาปรังเข้าโครงการ 14.70 ล้านตัน

ชำแหละ "สมุดปกเขียวจำนำข้าว"

 

ผลผลิตข้าวเปลือก 37 ล้านตัน จึงเป็นเท็จ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็น “ข้าวลม” หรือ “ข้าวต่างด้าว”

การที่ระบุว่าชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น 1.84 แสนล้านบาท จึงเป็นตัวเลขที่เชื่อถือ “ไม่ได้” เช่นเดียวกับหน้าที่ 14 ที่บอกว่า เงิน 1.84 แสนล้านบาท ที่หมุนในระบบเศรษฐกิจ 4 รอบ รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มเป็น 790,897 ล้านบาท

จึงสันนิษฐานได้ว่าข้อมูลในหนังสือเป็นสิ่งที่ “ปั้นแต่ง” ขึ้น

สมุดปกเขียวฉบับนี้ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นทั้งระบบ เช่น ก่อนมีโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกหอมมะลิที่เดิมมีราคา 14,169 บาทต่อตัน เพิ่มเป็น 15,333บาทต่อตัน หลังมีโครงการ หรือข้าวเปลือกเจ้าที่เพิ่มจาก 9,212 บาทต่อตัน เป็น 10,401 บาท หรือข้าวทั้งสองชนิดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2%

ไม่มีใครปฏิเสธว่าราคาข้าวต้องสูงขึ้น เพราะเมื่อรัฐบาลเข้ามาเป็นเสมือน “ผู้ซื้อ” ข้าวรายใหญ่ของประเทศในราคาสูงๆ และนำข้าวไปเก็บไว้ในสต๊อก เมื่อสินค้าข้าวหายไปจากตลาด ราคาข้าวก็ย่อมต้องขึ้น

แต่การที่รัฐบาลกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าเป็น 15,000 บาทต่อตัน จาก 9,212 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 38.5% ราคาข้าวทั้งระบบสูงขึ้นเพียง 8% ขณะที่รัฐบาลต้องรับภาระหนี้เงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าจัดการ 3.5 แสนล้านบาท

สมควรตั้งคำถามว่า โครงการนี้คุ้มค่าหรือไม่

หากนำเงินไปสร้างรถไฟความเร็วสูงได้ 2-3 สาย หรือสร้างถนนในชนบทได้หลายพันกิโลเมตร หรือเป็นงบในโครงการรักษาพยาบาลฟรีได้ 3 ปี หรือเท่ากับเงินที่อุดหนุนโครงการเรียนฟรี เบี้ยผู้สูงอายุรวมกันได้ถึง 5 ปี หรือลงทุนระบบน้ำได้ทั้งประเทศ

คนทั้งประเทศได้ประโยชน์ รวมทั้งตัวชาวนาด้วย

เช่นเดียวกับการที่ระบุว่า ข้าวไทยที่ขายได้มีราคาสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น เดือน ต.ค. 2555 ไทยขายข้าวได้ 689 เหรียญสหรัฐต่อตัน เวียดนาม 443 เหรียญสหรัฐต่อตัน และอินเดีย 523 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ไม่มีการแยกประเภทราคาและชนิดข้าว ขณะที่นโยบายข้าวแต่ละประเทศต่างกัน

เช่น เวียดนามผลิตข้าวเพื่อส่งออก สร้างรายได้เข้าประเทศ และต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยมาก แม้เวียดนามจะขายข้าวได้ต่ำกว่าไทย ทั้งมีคุณภาพที่น้อยกว่า แต่หักลบแล้วชาวนาเวียดนามทำนาได้เงินเข้ากระเป๋าไม่น้อยกว่าชาวนาไทยเลย ขณะที่ชาวนาไทยมีปัญหาปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและค่าครองชีพสูงขึ้น

ส่วนอินเดียที่มีประชากรกว่า 1,000 ล้านคน มีคนที่ยากจนและไม่ใช่ชาวนาหลายร้อยล้านคน อินเดียจึงมีนโยบายกดราคาข้าวให้ต่ำเพื่อที่รัฐบาลอินเดียมีเงินซื้อข้าวให้คนจนในประเทศกิน หากไม่ทำแล้วข้าวไม่พอกินก็จะเกิดการจลาจล เช่น 2-3 ปีที่แล้วที่อินเดียสั่งห้ามส่งออกข้าว เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหานี้

หนังสือปกเขียวที่มีข้อมูล “คลุมเครือ” นำมาซึ่งภาพลวงตาต่อสถานการณ์ข้าวไทย

ส่วนประเด็นที่สำคัญและไม่อ้างถึงไม่ได้ คือ หน้าที่ 15 มีการระบุว่ารัฐบาลระบายข้าวอย่างไร มีการระบุตัวเลขชัดเจนว่า ไทยได้เซ็นสัญญา “ซื้อขายข้าว” แบบรัฐต่อรัฐ 7.328 ล้านตัน กับ 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย จีน และโกตดิวัวร์ ไม่นับการขายข้าวให้หน่วยงานรัฐ 8.3 แสนตัน และเปิดประมูลขายให้เอกชน 3.2 แสนตัน

มีการทยอยส่งมอบถึงเดือน ธ.ค.ปีหน้า หรือปี 2556 โดยเดือน ม.ค.ก.ย. ส่งมอบข้าวแล้ว 1.46 ล้านตัน เดือน ต.ค.ธ.ค. ส่งมอบ 3 แสนตัน และที่เหลืออีก 5.6 ล้านตัน ส่งมอบภายในสิ้นปี 2556

เมื่อพลิกไปหน้าถัดมาที่บอกว่า ข้อมูลการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เพราะอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศผู้ซื้อไม่ต้องการให้เปิดเผยข้อมูล เนื่องจากเป็นเรื่องอ่อนไหว ไม่ต้องการสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนในประเทศ และเป็นข้อมูลด้านความมั่นคงทางอาหารของผู้ซื้อ

รัฐบาลคาดว่าจะขายข้าว 8 ล้านตันได้ 2.42.6 แสนล้านบาท และเหลือข้าวที่ไม่มีภาระผูกพัน 4 ล้านตัน

แต่มีประเด็นที่น่าขบคิด คือ 1.เรื่องผู้ซื้อไม่ต้องการให้เปิดเผยข้อมูล เพราะสร้างความตื่นตระหนกให้คนในประเทศ แต่ล่าสุดมีรายงานทางการว่า เวียดนามทำสัญญาขายข้าวขาว 5% ให้อินโดนีเซีย 3 แสนตัน 455 เหรียญสหรัฐต่อตัน

หรือฟิลิปปินส์ ที่ระบุว่าอาจมีการนำเข้าข้าวขาว 11.5 แสนตัน ขณะที่สำนักงานสถิติการเกษตรฟิลิปปินส์ รายงานสต๊อกข้าวของประเทศ ณ วันที่ 1 ก.ย. 2555 มีจำนวน 1.44 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอสำหรับบริโภค 42 วัน หรือลดลง 40.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีข้าว 2.41 ล้านตัน

เหตุใดประเทศเหล่านี้จึงเปิดเผยข้อมูลข้าว และไม่มีความตื่นตระหนกของคนในประเทศ

หรือรัฐบาลประเทศผู้ขายอย่างไทยต่างหากที่กลัวประชาชนตื่นตระหนก เพราะขายข้าวที่มีต้นทุนรับจำนำสูงได้ราคา “ต่ำเตี้ยติดดิน”

และ 2.กรณีที่รัฐบาลบอกว่าจะส่งมอบข้าวที่ทำ‌สัญญาซื้อขาย 5.6 ล้านตัน ได้เสร็จสิ้นในปี 2556 ‌จึงเป็นที่มาว่า แล้วข้าวที่รัฐบาลรับจำนำเข้ามาในปี‌การผลิต 2555/2556 จะระบายให้ใคร หรือต้องวิ่ง‌หาโกดังเก็บข้าวเพิ่ม เพราะวันนี้ข้าวก็ล้นทุกโกดัง‌แล้ว หรือไม่ก็ใช้วิธีการขายข้าววิธีพิเศษให้เอกชนนำ‌ไปส่งออก เช่น กรณีขายข้าวหอมมะลิ 5 แสนตัน

คงไม่มีใคร “อิจฉา” ที่รัฐบาลเพื่อไทยมีโครงการ‌รับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดตามสโลแกน “ทักษิณ‌คิด เพื่อไทยทำ” แน่ๆ แต่เป็นห่วงการใช้งบที่สิ้น‌เปลืองและก่อหนี้ให้ประเทศในอนาคตมากกว่า

เพราะอย่างโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่ปี ‌2547 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ สมชาย สมัคร แทรก‌กลางด้วยโครงการประกันรายได้เกษตรของรัฐบาล‌ประชาธิปัตย์

ต้องรอนานกว่า 8 ปี ที่จะรู้ว่าโครงการเหล่านี้‌ทำให้ประเทศมีภาระต้นทุนเงินและดอกเบี้ย ‌787,823 ล้านบาท โครงการที่ทำมาขาดทุน ‌207,006 ล้านบาท เหลือหนี้ค้างชำระ 455,538 ล้านบาท

แต่ครั้งนั้นเป็นการรับจำนำข้าวแค่ 30% ของผลผลิต และราคานำตลาด 5-10% เท่านั้น แต่วันนี้‌จำนำข้าวทุกเมล็ดและแพงกว่าราคาตลาดเกือบ ‌40% ถ้าต้องรออีก 4 ปี 8 ปี

ไม่รู้ประเทศจะเป็นหนี้บักโกรกขนาดไหน

ข่าวล่าสุด

สวนดุสิตโพล เปิด 5 อันดับ “นักการเมือง” ประชาชนเชียร์นั่งนายกฯ