ผอ.ใหม่ไทยพีบีเอสกับภารกิจทีวีปลอดสารพิษ
เปิดใจกับสื่อไทยเป็นครั้งแรก สมชัย สุวรรณบรรณ กับภารกิจในเก้าอี้ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
โดย...สุภชาติ เล็บนาค/ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
เปิดใจกับสื่อไทยเป็นครั้งแรก สมชัย สุวรรณบรรณ กับภารกิจในเก้าอี้ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) คนใหม่ หรือไทยพีบีเอส แทน เทพชัย หย่อง ซึ่งหมดวาระไป
ว่าไปแล้ว สมชัยไม่ใช่หน้าใหม่ในแวดวงสื่อ เพราะเขาเป็นกรรมการนโยบายมาตั้งแต่ช่วงก่อตั้งสถานีตั้งแต่ปี 2551-2555 หากย้อนดูประวัติการทำงานของเขาแล้ว ชายวัย 61 ปีผู้นี้ ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน โดยเข้าสู่แวดวงสื่อสารมวลชนตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ผ่านหนังสือพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ ชาวไทย เข็มทิศธุรกิจ เดอะเนชั่น บางกอกโพสต์ และเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร “สู่อนาคต” ก่อนจะไปปักหลักที่ต้นกำเนิดสื่อสาธารณะอย่างวิทยุบีบีซี ตั้งแต่ปี 2524 จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อปี 2549
สมชัยเริ่มต้นด้วยการอธิบายความตั้งใจที่จะให้เกิดสื่อสาธารณะ ด้วยการย้อนไปหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ที่สังคมไทยเรียกหาทีวีที่หลุดจากการควบคุมของรัฐเป็นครั้งแรก โดยขณะนั้นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน ได้ส่ง มีชัย วีระไวทยะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปดูงานที่บีบีซี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยหวังว่าจะนำโมเดลของทีวีสาธารณะมาใช้ในประเทศไทยบ้าง แต่แล้วก็ไปไม่รอด เพราะบีบีซีโมเดลนั้น ต้องเก็บเงินผู้ชมทุกเดือนเพื่อบริหารจัดการองค์กร ประเทศไทยจึงได้ทีวีสื่อลูกผสม ที่ตั้งใจจะเป็นสื่อสาธารณะ แต่ใช้เงินโฆษณามากำกับ ที่ชื่อว่า ไอทีวี มาแทน
เขาย้อนให้ฟังว่า เมื่อปี 2535 รัฐบาลยังคงคิดกันไม่ตกว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาเงินมาทำทีวีได้ หากไม่อาศัยโฆษณา เพราะวันนั้นสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยังไม่เกิด และยังไม่มีโมเดลการนำภาษีบาปมาใช้ สุดท้ายก็ต้องอาศัยโฆษณามาเป็นตัวนำ แต่ไอทีวีก็ไปไม่รอด เมื่อข่าวและสารประโยชน์นั้นไม่ได้เงิน ทำให้ชินคอร์ปเข้ามาซื้อ เปลี่ยนสัญญาสัมปทานกันทั้งหมด ลดข่าว เพิ่มรายการบันเทิงมากขึ้น จนสุดท้ายไอทีวีก็ไปไม่รอด
“ในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น มีการผลักดัน พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ขึ้นมา ซึ่งผมถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง ผมตั้งคำถามมาตลอดว่า ทำไมต้องยึดไอทีวีมาทำทีวีสาธารณะ ทำไมไม่ปล่อยให้ไอทีวีเน่าไป แล้วเก็บเงินที่เขาค้างจ่ายจากไอทีวีไปเรื่อยๆ โดยรัฐบาลเปิดทีวีสาธารณะช่องใหม่แทนได้หรือไม่ การไปเทกโอเวอร์ไอทีวีมา กลายเป็นปัญหาติดตัวเรามาโดยตลอด” สมชัย เล่าให้ฟัง
ทำให้ 4 ปีที่ผ่านมา เป็นปีแห่งความยุ่งยากในการลบภาพทีวีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นคนตั้ง และทำความเข้าใจกับสังคมใหม่ว่าทีวีสาธารณะคืออะไร เช่นเดียวกับการทำความเข้าใจกับคนในองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเดิมให้เข้าใจว่า ทีวีช่องนี้ไม่ได้มีเพื่อการค้าหวังผลกำไรแล้ว แต่เป็นการทำเพื่อสร้างค่านิยมสาธารณะใหม่ๆ แทน
ทีวีเอ็นจีโอเสียหายตรงไหน?
ค่านิยมสาธารณะใหม่ที่เขายกตัวอย่างมานั้น มีตั้งแต่การสนับสนุนให้ปั่นจักรยานแทนการใช้รถบนถนน เพื่อลดการเผาผลาญน้ำมันผ่านรายการทีวี ไปจนถึงรายการสนับสนุนคนพิการอย่างรายการ Blind Date ที่ให้คนเด่นคนดังในสังคมไปใช้ชีวิตร่วมกับคนตาบอดเป็นเวลา 1 วัน เพื่อเรียนรู้กันและกัน หรือแม้กระทั่งรายการบันเทิงอย่าง “หนังพาไป” ที่ให้พิธีกร 2 คน แบ็กแพ็กตะลอนทัวร์ต่างประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งบริษัททัวร์
“เรามีข่าวว่าพริตตีเสียชีวิต เพราะฉีดฟิลเลอร์ให้หน้าเด้ง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์เป็นเพราะค่านิยมในสังคมเรา เน้นให้คนต้องสวยมากขึ้น เพื่อจะได้ทำงานอีเวนต์หรือออกทีวีหาเงิน ลองสังเกตดูละครหลังข่าว ทีวีช่องอื่นนางเอกพระเอกหน้าขาวจมูกโด่งกันหมด จนกลายเป็นค่านิยม และทำให้คลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ไทยพีบีเอสจะบอกว่า ต่อไปนี้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องสวย ไม่จำเป็นต้องขาว หรือมีหน้าอก ก็สามารถใช้ชีวิตและได้รับเกียรติในสังคมได้”
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการไทยพีบีเอสคนใหม่ ยังสะท้อนความเหลวแหลกของสื่อไทย ที่ผลโพลยอมรับว่าคนมากกว่า 60% ยอมรับว่านักการเมืองคอร์รัปชันได้ ถ้าตัวเองได้ประโยชน์ ซึ่งอุตสาหกรรมสื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยทำให้คิดว่าการคอร์รัปชันคือสิ่งผิด
สมชัยยังตอบคำถามที่ว่าไทยพีบีเอสเป็นสื่อเอ็นจีโอ ว่า การเป็นสื่อเอ็นจีโอนั้นเสียหายอย่างไร เมื่อเทียบกับสื่อที่หลอมรวมโดยทุนและรัฐที่มีอยู่ทุกช่อง
“สังคมไทยพูดถึงมีเดียคอนเวอร์เจนซ์ หรือการหลอมรวมสื่อ ซึ่งผมมองว่าในเรื่องการหลอมรวมคอนเทนต์ทุกวันนี้ มันคือการหลอมรวมสื่อให้กลายเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล ทุกวันนี้รัฐบาลมีเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากทุกกระทรวง ทบวง กรม เพื่อเป็นงบสปอนเซอร์ที่สามารถโยนไปได้ทุกส่วนตามแต่เขาจะพอใจ ขณะเดียวกันบรรษัทใหญ่ก็สามารถจ่ายเงินเป็นสปอนเซอร์ช่องได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นทีวีจะมุ่งเน้นการผลิตรายการเพื่อเอาใจสปอนเซอร์มากยิ่งขึ้น และการให้พื้นที่กับคนเล็กคนน้อย ก็จะถูกกลืนไปเรื่อยๆ ดังนั้นของเราไม่มีคอนเวอร์เจนซ์ แต่เราเป็นไดเวอร์เจนซ์”
“ถ้าสังคมไทยบอกว่า คนที่ถือครองพื้นที่สื่อเท่านั้นจะเป็นผู้มีอำนาจ เราก็ต้องเปลี่ยนอำนาจ คนที่กำหนดวาระข่าวจากนักการเมืองกลุ่มเล็กๆ ในสภาให้เป็นประชาชนให้ได้ วันนี้ข่าวทีวีอาจจะมีแต่ เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พูดอะไรบ้าง หรือพรรคประชาธิปัตย์จะตอบโต้อะไรกลับมา เป็นข่าวปิงปองทั่วไป แต่ของเราเปลี่ยนให้ประชาชนเล่าเรื่องเอง 23 นาที ให้พูดถึงความเดือดร้อนจากนโยบาย เรื่องเขื่อน เรื่องน้ำ ผ่านรายการนักข่าวพลเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้เราใช้เงินแค่ 2,000 ล้าน อันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินเป็นหมื่นล้านที่รัฐบาลใช้ทำโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก”
พ่อครัวปรุงสลัดผัก
เขาบอกด้วยว่า ทุกวันนี้ยังมีการตั้งคำถามจากนักการเมืองหรือองค์กรสื่อ ที่อยากได้คลื่นความถี่และงบประมาณของไทยพีบีเอส โดยตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดไทยพีบีเอสไม่ทำรายการที่มีคนดูในวงกว้างบ้าง เพราะตัวเลขเรตติ้งทุกวันนี้ยังต่ำจนน่าใจหาย รายการดีๆ ยังมีคนดูมากกว่าช่อง 11 บางรายการชนะช่อง 5
ปัจจุบันรายการส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ล้วนแล้วแต่ไปซื้อรูปแบบมาจากต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบนั้นง่าย ไม่ซับซ้อน และการันตีความสำเร็จได้ด้วย แต่ไทยพีบีเอสนั้น งบประมาณมาจากภาษีประชาชน หากจะให้ไปซื้อรายการแพงๆ และยังต้องจ้างดารามาอีก ซึ่งก็จะตอบคำถามไม่ได้ทันทีว่า ที่สุดแล้วไทยพีบีเอสแตกต่างจากช่องอื่นอย่างไร แม้วันนี้รายการอาจจะมีรูปแบบเหมือนสอนคนดูมากเกินไป แต่เขาบอกว่า ขณะนี้กำลังเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดให้มีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้มีความสนุกสนาน บันเทิง โดยไม่ทิ้งการสร้างค่านิยมสาธารณะ
ฉะนั้น หากใครมาเสนอรายการ จะต้องถูกตั้งคำถามก่อนว่า มีการสร้างค่านิยมสาธารณะใหม่ให้กับสังคมที่กำลังหลอมรวมกันอยู่อย่างไรบ้าง หากเป็นการทำเพื่อแข่งขันกับรายการช่องอื่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการ “หลอมรวม” ที่สมชัยนิยาม ก็จะถูกเสนอให้ไปทำช่องอื่น แต่ถ้าทำเพื่อเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมสาธารณะแบบเดิม ไทยพีบีเอสยินดีต้อนรับ
สมชัยเปรียบเทียบว่า เขากำลังทำสลัดผักปลอดสารพิษ ในวันที่สังคมไทยกำลังนิยมบริโภคส้มตำปูที่เผ็ดร้อนและมีรสชาติ ซึ่งสลัดผักของเขาอาจจะกินยากหน่อย แต่ดีต่อสุขภาพแน่นอน
นโยบายของสมชัยหลังจากนี้ มีตั้งแต่การสร้างเอกภาพในระดับกรรมการนโยบาย กรรมการบริหารและพนักงานทุกระดับ ปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคล การปฏิรูประบบกลางการจัดซื้อจัดจ้าง การปรับโครงสร้างองค์กรให้มีขนาดกะทัดรัด ไปจนถึงสนับสนุนการจัดตั้งสหภาพพนักงาน เพื่อลดความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้น ส่วนเรื่องวัฒนธรรมการเป็นสื่อสาธารณะและสร้างค่านิยมใหม่ก็ต้องถูกปลูกฝังในพนักงานทุกระดับ


