สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา
โดย..วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2405 เป็นพระเจ้าลูกเธอลำดับที่ 60 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์ของพระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4
พระองค์ทรงเป็นพระราชชนนีของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกของไทย ทรงเป็นสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า (ป้า) ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นพระอัยยิกาเจ้า (ย่า) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เมื่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาตามแบบกุลสตรีในวังหลวง ทรงได้เล่าเรียนภาษาอังกฤษถึงขั้นอ่านออกและฟังเข้าพระทัย ทรงมีพระพี่นางน้องนางที่สนิทสนมเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน คือ พระองค์เจ้าแขไขดวง พระองค์เจ้านภาพรประภา พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอาง และพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี พระขนิษฐาแท้ๆ ของพระองค์เอง ทรงเข้ารับราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ในช่วงเวลาใกล้เคียง พระพี่นางสุนันทากุมารีรัตน์ และพระน้องนางเสาวภาผ่องศรี กับพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี พระองค์ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระสิริโฉมงดงาม จนมีคำกล่าวว่า “หน้าตาคมสันองค์สว่าง พูดจากระจัดกระจ่างองค์สุนันทา”
ในปี 2423 เกิดเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ โดยเรือพระประเทียบล่มระหว่างโดยเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบางปะอิน จึงทำให้เกิดปัญหาในการจะออกพระนามในประกาศของทางราชการ จึงนำมาสู่การจัดระเบียบภายในพระราชสำนักว่าด้วยตำแหน่งพระภรรยาเจ้า โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ให้เป็นอัครพระมเหสีพระองค์แรกในวันงานพระเมรุมาศ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสถาปนาพระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีองค์ต่อไป โดยได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 5
สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรม ราชเทวี มีพระราชโอรสและพระราชธิดา 10 พระองค์ แต่ตกเสียก่อนเป็นพระองค์ 2 และสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชันษาเพียง 3 วัน 1 พระองค์ คงเหลือเพียง
1.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
2.สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์
3.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิระประภา อดุลยาดิเรกรัตน์ ขัตติยราชกุมารี
4.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
5.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี
6.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี
7.สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงรับอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่กำพร้าพระมารดาอีก 4 พระองค์ คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงษ์สนิท พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดา ม.ร.ว.เนื่อง สนิทวงศ์ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย และพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพร้อม
แม้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี จะทรงพรั่งพร้อมไปด้วยพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ และเพียบพร้อมในทุกด้าน อีกทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ยังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงได้รับความทุกข์จากการที่พระราชโอรสและพระราชธิดาสิ้นพระชนม์ลงตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นับตั้งแต่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย ในปี 2436 เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระองค์ทรงวิปโยคโศกเศร้ายิ่งนัก ประกอบกับที่ทรงกันแสงอย่างหนัก ทำให้พระพลานามัยทรุดโทรมและทรงพระประชวรในที่สุด พระองค์จึงได้เสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ เพื่อทรงพักฟื้นจนพระพลานามัยดีขึ้น แต่ในปี 2441 ก็ทรงได้รับความทุกข์จนทำให้ทรงพระประชวรอีกครั้ง เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พระราชธิดาอีกพระองค์สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคปอดบวม คณะแพทย์จึงกราบบังคมทูลให้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่เมืองชายทะเลเพื่อรักษาพระองค์ แต่ยังมิได้เสด็จฯ ไป สมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ก็สิ้นพระชนม์ลงด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย การสูญเสียพระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พระองค์ทรงพระประชวรถึงกับทรงพระดำเนินไม่ได้จนไม่อาจเสด็จฯ ไปในพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นพระราชพิธีเดียวกันได้
พระราชโอรสพระองค์สุดท้ายคือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระยศขณะนั้น) ก็สิ้นพระชนม์ลงในปี 2472 ในขณะที่พระองค์เจ้าเยาวภาพงษ์สนิท พระราชธิดาบุญธรรมที่ทรงใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด ทรงหวังพระราชหฤทัยจะฝากการพระบรมศพของพระองค์เองไว้ด้วยนั้นก็ประชวร สิ้นพระชนม์ในปี 2477
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 แม้พระราชนัดดาของพระองค์จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า แต่ในปี 2481 สมเด็จฯ กรมขุนชัยนาทนเรนทร (พระยศขณะนั้น) พระราชโอรสบุญธรรมทรงถูกจับกุมด้วยเหตุผลทางการเมือง ถูกถอดฐานันดรศักดิ์ เป็นนักโทษชายรังสิตและต้องคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ในระหว่างนั้น สมเด็จพระราชปิตุลาเจ้า เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระราชธิดาพระองค์เดียวที่เหลืออยู่ก็สิ้นพระชนม์ลงในปี 2481 ทรงได้รับความทุกข์อย่างหนักอีกครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สวรรคตในวันที่ 9 มิ.ย. 2489 ไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูลให้สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงทราบ ในวันที่เชิญพระบรมศพลงพระโกศนั้น พระองค์ได้เสด็จออกมาทางระเบียง ตรัสขึ้นว่า “วันนี้เป็นอะไรฟ้าเศร้าจริง นกสักตัว กาสักตัวก็ไม่มาร้อง เศร้าเหลือเกินนี่ทำไมมันเงียบเชียบไปหมดอย่างนี้ล่ะ” ข้าราชบริพารเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจ ผู้ใดที่ทนไม่ได้ต่างก็หลบออกมา ด้วยเกรงว่าพระองค์ท่านจะทรงรู้ได้ว่าเกิดเหตุการณ์ใด พระองค์จึงทรงรำลึกอยู่เสมอว่า “มีหลานชาย 2 คน”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน แม้สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าจะมีพระชนมายุกว่า 90 พรรษาแล้ว แต่ก็ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ ตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2493 ได้เป็นอย่างดี แม้จะทรงเลือนพระสัญญา เนื่องจากพระชนมายุสูง แต่เมื่อทรงเจิม ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร แล้วมีรับสั่งว่า “หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เข้ามาซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็มๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย” สร้างความประหลาดใจให้แก่คนมาเฝ้า ณ ที่นั้นเป็นอันมาก
สมเด็จฯ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2498 ณ วังสระปทุม ได้มีการอัญเชิญพระบรมศพไปประกอบพระราชพิธีทางศาสนา พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ภายใต้พระสัปตปฎลมหาเศวตฉัตร (พระเศวตฉัตร 7 ชั้น) จนวันที่ 22 เม.ย. 2499 แล้วจึงถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ 23 เม.ย. 2499
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประกอบพระราชกรณียกิจไว้มากมาย ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข การศาสนาและการต่างประเทศ หัตถกรรมและการเกษตร ซึ่งอนุชนคนรุ่นหลังสามารถที่จะทำการศึกษาค้นคว้าเกียรติประวัติของพระองค์ได้ไม่ยากที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม m


