ความรัก เซ็กซ์ฯในมุมมองของนิธิ เอียวศรีวงศ์
มูลนิธิเพศวิถีศึกษาฯ จัดเสวนาความรัก เซ็กซ์ ความโรแมนติก การแต่งงานฯ เปลี่ยนแปลงตามสังคมยุคใหม่อย่างไร
มูลนิธิเพศวิถีศึกษาฯ จัดเสวนาความรัก เซ็กซ์ ความโรแมนติก การแต่งงานฯ เปลี่ยนแปลงตามสังคมยุคใหม่อย่างไร
วันที่ 4 สิงหาคม เวลา 13.00 ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ มูลนิธิเพศวิถีศึกษาเพื่อสร้างสังคมและวุฒิภาวะ ได้จัดการเสวนาเรื่อง “ความรัก เซ็กซ์ ความโรแมนติก การแต่งงาน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม” โดยมีนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอาวุโสด้านประวัติศาสตร์ เป็นวิทยากร เพื่อพูดถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เปลี่ยนให้วัฒนธรรมของทั้งความรัก เซ็กซ์ ความรักโรแมนติค และการแต่งงานเปลี่ยนไปในสังคมยุคใหม่
นายนิธิ ระบุว่า ความรัก เซ็กซ์ โรแมนติก การแต่งงาน ล้วนเป็นวัฒนธรรม และทำกันเป็นสิ่งหนึ่งของวิถีชีวิต โดยถูกกำหนดจากสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ทั้งนี้ คนมักเข้าใจว่า ความรักหรือการแต่งงาน เป็นธรรมชาติไม่มีใครปฏิเสธได้
“อาจเทียบกับการกิน คนเราเกิดมาต้องกินทุกคน เราไม่ได้กินอย่างเดียว แต่สร้างแบบแผนการกินอย่างซับซ้อนมาก เราไม่ได้เอาอาหารมากิน อิ่มแล้วก็ไป เราสร้างประเพณี การเชิญแขก ใครกินก่อนกินหลัง การเชิญแขกมากิน ทำไมพูดถึงการกินเราถึงไม่พูดเรื่องที่เป็นธรรมชาติ กลับพูดถึง้รื่องอื่น”
นิธิยกตัวอย่างเรื่อง “ความรัก” ซึ่งปัจจุบันหากพูดถึงความรัก ก็ปกติเป็นธรรมชาติ คนเราเกิดมาต้องมีความรัก แต่ถ้าดูเนื้อหาความรักในวรรณคดีโบรารกับปัจจุบันไม่เหมือนกันเลย เช่นพระรามกับนางสีดา ทั้งสองไม่ได้รักกันโดยปัจเจกชนชื่อราม หรือชื่อสีดา แต่ทั้งสองรักกันโดยพระเจ้าเสกมาก่อนหน้านั้น มันถูกกำหนดโดยชะตากรรมให้สองคนนี้เป็นสามีภรรยาตั้งแต่ต้น ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกส่วนตัวของพระรามเลย ถ้าเราเขียนนวนิยายปัจจุบันโดยเอาความรักแบบรามเกียน คนอ่านอาจรับไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้สึกส่วนตัว ทำไมตัวละครถึงไม่เป็นปัจเจก
“ ในสมัยโบราณความรักไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคล ที่ไม่เหมือนกันกับในปัจจุบันเลย ทุกอย่างเคยมีแบบแผน เคยมีค่านิยมในสังคมโบราณที่ไม่เหมือนปัจจุบัน”
ค่านิยมเรื่องความรักในสังคมไทย
นายนิธิกล่าวว่า สังคมไทย สามารถแบ่งความรักออกเป็น 2 รูปแบบ คือความรักของสามัญชน และความรักของชนชั้นสูง
สำหรับความรักของสามัญชนนั้น ส่วนใหญ่ของสังคมไทยโบราณ เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะมีทรัพยากรเหลือเฟือ ครอบครัวนึงอาจมีที่นาแค่สัก 10-15ไร่ ซึ่งพอเลี้ยงครอบครัวได้มันก็ไม่พอ สมัยโบราณสามารถขยายที่นาได้ ไม่ยากเย็นอะไร ถ้ามีแรงก็บุกเบิกที่ดินได้ มีทรัพยากรค่อนข้างเหลือเฟือ สังคมส่วนใหญ่อยู่ในสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่มากนัก แต่ชาวบ้านมีสิบไร่ แต่เนื่องจากตัวนายบ้านทำนาเหมือนกัน ฉะนั้นมีที่ร้อยไร่ ใครจะช่วยในการไถ การเกี่ยว การตัดข้าว ต้องการแรงงาน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมโบราณมีน้อย การจับคู่หญิงชายไม่มีอุปสรรคมากนัก ขุนแผนกับนางพิมนั้นเจอกันเพราะขุนแผนไปบวชเณรแล้วเจอนางพิมไปตักบาตร
“ในสังคมโบราณไม่ต้องถามว่าลูกเต้าเหล่าใคร รู้สึกอยากนอนด้วยได้เลย ในโบราณเซ็กซ์กับความรักไม่ได้แยกออกจากกัน เพราะฉะนั้น การที่หญิงชายในชุมชน ของสามัญชนที่วไป จะเกิดความสัมพันธ์กันจนถึงขั้นจะหลับนอน จึงเป็นเรื่องปกติ ฝ่ายพ่อแม่ ก็ไม่รู้สึกแปลกใจที่ลูกจะไปนอนกับคนในชุมชนด้วยกัน ความเหลื่อมล้ำมันไม่มาก เพียงแค่มีความขยันหมั่นเพียรพอ ก็เอาตัวรอดทางเศรษฐกิจได้
นายนิธิกล่าวว่าในอดีต ประเพณีการแต่งงาน ส่วนใหญ่เป็นประเพณี ผู้ชายเข้าบ้านผู้หญิง คือมีเมียเมื่อไหร่ ก็ย้ายเข้าไปบ้านเมีย ฝ่ายที่จะกำกับดูแลให้ชีวิตสมรสดำเนินได้ปกติสุข ก็คือเครือญาติฝ่ายหญิง ผู้ชายจะโดดเดี่ยว ที่จะออกจากบ้าน หรืออกจากหมู่บ้านไปในบ้านผู้หญิง มีพ่อตา ซึ่งคุณต้องอาศัย ต้องอาศัยงานเขาทำ ไปช่วยเขาทำนา แบกข้าวให้กิน การกำกับควบคุมให้ชีวิตสมรสดำเนินด้วยดี โดยมีการถ่วงดุลกัน ซึ่งสมัยก่อนมีข้อได้เปรียบบางอย่างของฝ่ายหญิง ปัจจุบันมันหายไป
“อีกประเด็นหนึ่งของการทำงานก็คือว่า หลังจากผู้ชายย้ายไปอยู่กับผู้หญิง มีลูกมีเต้า ก็มักจะย้ายออกไป มีลักษณะยืดหดๆตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับครอบครัวจีน ครอบครัวจีน ขยายไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหด จีนใช้พลังครอบครัวต่อรองการเมือง ศก.หมด ครอบครัวไทยไม่อาจใช้พลังครอบครัวได้เท่ากับครอบครัวจีน วัฒนธรรมทั้งหมด คือวัฒนธรรมของชนชั้นสูง ไม่เหมือนกับสามัญชนทั่วไป ทำให้อำนาจต่อรองของครอบครัวจีนมีสูงกว่า”
ส่วนความรักของชนชั้นสูงนั้น นายนิธิกล่าวว่า มีชีวิตอยู่ในทรัพยากรที่จำกัด ชนชั้นสูงอยู่ในตำแหน่งราชการ ตำแหน่งราชการก็มีจำกัด อยู่ในความสามารถที่รัฐบาลผูกขาดบางอย่าง ผูกขาดการทำงาน โรงฝิ่น แล้วก็มีจำกัด เส้นสายในราชการ หรือนอกราชการก็มีจำกัด ไม่เหมือนที่นา น้ำ ชนชั้นสูงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางทรัพยากรที่มีข้อจำกัด และอยู่ท่ามกลางสังคมที่เน้นเรื่องความเหลื่อมล้ำสูงมาก ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็มีสรรพนามอยู่แค่ข้ากับเอ็ง แต่ลองนึกถึง ฉัน ในภาษาที่เป็นภาษาสุภาพมันมีเต็มไปหมด ข้า ข้าพเจ้า ทั้งหมดนี้คือการเน้นควาเมหลื่อมล้ำที่ไม่เท่ากัน ระหว่างผู้พูดและผู้ฟังอย่างไร ถึงจะพูดให้ไพเราะหรือมีมารยาท แต่ชาวบ้านมีภาษาง่าย ๆ ได้หมด
เวลาเราอ่านนิยายแล้วมีเรื่องคลุมถุงชน เป็นเรื่องชนชั้นสูงเท่านั้น สามัญชนไม่มี บางคนอาจนึกถึงเรื่องแผลเก่า แผลเก่านั้นแต่งขึ้นเพื่อเล่าถึงชนบทไทยแถวพระโขนง บางกะปิ ในช่วงที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยน ในทุ่งบางกะปิ ใกล้กรุงเทพนิดเดียว สมัยนั้นทุ่งบางกะปิ เป็นชนบทที่กำลังเปลี่ยน สมัยนั้นการคลุมถุงชน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขวัญเลยน่ารังเกียจเพราะมันจน สู้นักเลงพระโขนงที่รวย ให้เงินกู้ ไม่ได้ เงินกลายเป็นตัวตัดสินความรักเพราะทุ่งบางกะปิ เป็นชนบทที่กำลังเปลี่ยน
ลักษณะสังคมที่กำลังเหลื่อมล้ำ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องเหล่านี้เกิดในกทม. เกิดในชนชั้นสูงมานาน แล้วคือเรื่องรักนวลสงวนตัว สมัยร.5 มันมีเรื่องการครอบงำทางศก. วิธีเดียวที่จะจัดการกับลูกสาวได้ ก็คือสอนให้รักนวลสงวนตัว เพื่อจะเข้าไปแทรกการแต่งงานให้กับลูกสาวลูกชายเพื่อให้ได้อำนาจ และรกษาอำนาจได้ต่อไป
ความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ซับซ้อนมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงยังเปลี่ยนไป ครอบครัว ไม่มีบทบาทและสถานะในการเปลี่ยนแปลง ไม่มีผู้ญคนไหนที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ก็ไม่มีใครคิดว่าจะพึ่งพา อาศัยครอบครัวตัวเอง ครอบครัวไม่มีฐานะในการครอบคลุมเรื่องความรัก การแต่งงาน เซ็กซ์ และโรแมนติคอีกต่อไป เพราะทั้งผู้หญิง และผู้ชายมีโอกาสพบปะ และออกไปจากการครอบคลุมของชุมชน อาจไปทำงาน ไปพักผ่อน ไปเที่ยว ทำให้คนมองการแต่งงาน เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องปัจเจก
นายนิธิระบุว่าสังคมไทยไม่ได้พัฒนาศีลธรรมทางเพศให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พอพูดถึงกลับไปพูดเรื่องสุภาษิตสอนหญิง ซึ่งไม่จริงอีกแล้วในสังคมเรา สุภาษิตสอนหญิงพูดถึงความถูกต้องทางเพศบนฐานของครอบครัว แต่ทุกวันนี้ความรักเป็นเรื่องส่วนบุตคลและปัจเจกขึ้นมา ทั้งที่เราเปลี่ยนไปแล้ว สังคมไทยไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจ ที่มีระหว่างผู้หญิง และผู้ชาย เราไม่ได้สร้างกติกา ค่านิยม สำหรับหญิงชายที่อยู่ในเงื่อนไข เศรษฐกิจและสังคมแบบใหม่
“เรามักพูดว่า ชายเป็นช้างเท้าหน้า ชนชั้นสูงในอดีต การมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอำนาจ เช่นการเป็นเจ้านาย แล้วมีคนเอาผู้หญิงมาถวาย การมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ ความคิดของชายไทยทุกวันนี้ “เพศสัมพันธ์” ก็ยังคงเป็นเรื่องการสร้างอำนาจ ชายไทยก็ใช้เพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ ทั้งจากการเปลี่ยนอำนาจด้วยแรงกาย หรือการบังคับด้วยการเงิน เป็นส่วนหนึ่งของการเถลิงอำนาจ เราไม่ได้สร้างคน หรือเตรียมคนให้มากพอในการเตรียมหญิงชายให้เข้าสู่การเตรียมการที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ทุกครั้งที่พูดเรื่องเพศศึกษา ก็มักเอาค่านิยมโบราณมา แต่ทุกวันนี้ค่านิยม คติ มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เราต้องเรียนรู้ให้อยู่่ในสังคมนี้เพียงพอกับโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว” นายนิธิกล่าวสรุป


