posttoday

เครื่องแต่งกายประจำชาติ

05 ตุลาคม 2563

โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร                             

*******************

คราวที่แล้วได้เล่าถึงเครื่องแต่งกายประจำชาติของสวีเดนที่เป็นพระราชดำริของพระเจ้ากุสตาฟที่สามในช่วงศตวรรษที่สิบแปด สาเหตุที่พระองค์ทรงให้เครื่องแต่งกายประจำชาติเพราะต้องการให้ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางของสวีเดนลด ละ เลิกการสั่งซื้อแฟชั่นเสื้อผ้าราคาแพงจากต่างประเทศ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงออกกฎหมายบังคับแต่อย่างใด แต่รณรงค์ในลักษณะของการชี้ชวนให้หันมาสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำชาติ

และผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงชุดราชประแตนและชุดพระราชทานของไทยเรา และได้เล่าว่า ตอนสมัยที่ผู้เขียนไปเรียนต่อที่อังกฤษใหม่ๆ  ได้นำชุดราชประแตนที่ตัดเพื่อรับพระราชทานปริญญาติดตัวไปด้วย เป็นเพราะรู้สึกเสียดายที่ตัดมาและใช้เพียงหนเดียว และก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้อีกเมื่อไร  ตอนไปใหม่ๆ ผู้เขียนยังไม่ได้ไปซื้อเสื้อโค้ทกันหนาว จึงสวมเสื้อหลายตัวและใช้ราชปะแตนสวมทับต่างเสื้อโค้ท ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่หนาวนัก แต่แน่นอนว่าสำหรับคนไทยที่ไปใหม่ๆก็ถือว่าหนาวเลยทีเดียว ทั้งคนอังกฤษเองก็ยังสวมใส่แจ๊กเกตหรือโค้ทอยู่ แต่ไม่ใช่อย่างหนาที่ใช้กันในช่วงฤดูหนาว ซึ่งชุดราชปะแตนสีขาวของไทยเราก็สามารถใช้แทนโค้ทได้อย่างดี อีกทั้งดูจะเป็นที่แปลกตาสำหรับคนพื้นเมืองอย่างคนอังกฤษในลอนดอนด้วย

ผู้เขียนอาจจะใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรือคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า คนอังกฤษเขามองด้วยความสนใจไปในทางบวก และน่าจะดูดีกว่าการที่เราใส่เสื้อผ้าตามแบบของเขา ฝรั่งน่าจะมีความรู้สึกในการยอมรับความเป็นตัวของตัวเองของคนแต่ละชาติมากอยู่แล้ว และก็ไม่ได้ผิดกาลเทศะแต่อย่างใด โดยเฉพาะอากาศ ซึ่งอากาศในหน้านั้นก็ควรต้องสวมใส่โค้ทอยู่ หรือถ้าจะเปรียบเทียบกับเจ้าชายจิกมี่จากภูฏานยามเมื่อท่านเสด็จเยือนประเทศไทยด้วยชุดประจำชาติ ความรู้สึกของเราที่มีต่อท่านเป็นอย่างไร ?

และอย่างที่ผู้เขียนกล่าวไปในตอนที่แล้วว่า แม้ว่าผู้เขียนจะใส่ราชปะแตนตอนอยู่อังกฤษ (ด้วยเหตุผลสองประการ นั่นคือ หนึ่ง ต้องการประหยัด สอง มันก็ดูดีไม่เหมือนใคร แม้ว่าจะคล้ายชุดของอินเดียหรือจีน-รัสเซียสมัยเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ก็ตาม แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ซึ่งในแง่นี้  ชุดประจำชาติของสวีเดน แม้ว่าจะเป็นชุดประจำชาติสวีเดน แต่ก็ยังมีส่วนเหมือนชุดของความเป็นยุโรปด้วยเช่นกัน)

แต่สำหรับ “ชุดพระราชทาน”-----แม้ว่าจะมีเหตุผลดีที่จะใส่ในแง่ของความประหยัดสำหรับใช้แทนสูทราคาแพงที่ข้าราชการหรือชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในบ้านเราจำนวนหนึ่งต้องเสียเงินหาซื้อจากต่างประเทศ----ผู้เขียนไม่ชอบเสียจริงๆ !!!

เหตุผลที่ไม่ชอบเพราะมันไม่เข้ากับตัวผู้เขียน เพราะผู้เขียนเป็นผู้ชายที่ไว้ผมยาว ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ไม่นิยมใส่สูทด้วย  ดังนั้น เมื่อเวลาไปงานอะไรต่างๆ  ผู้เขียนเชื่อว่า การแต่งกายสุภาพนั่นคือ ใส่เสื้อเชิ๊ตสีพื้นๆที่ดูสะอาดและเหมาะสมก็น่าจะเพียงพอ ส่วนเรื่องกางเกงไม่ต้องพูดถึงว่าควรใส่อย่างไร

ที่ไม่ชอบใส่สูทก็เพราะเหตุผลหลักเหตุผลเดียวนั่นคือ อากาศบ้านเรามันโคตรของโคตรร้อนอยู่แล้ว ! และแน่นอนว่างานพิธีอะไรต่างๆบางงานเมื่อจัดในห้องปรับอากาศ ก็ยิ่งต้องปรับอุณหภูมิให้เย็นจัด  เพื่อรองรับจำนวนคนที่เข้ามาแออัด พร้อมๆกับรองรับคนเหล่านั้นที่ใส่สูท หรือแม้แต่ชุดราชประแตนกันมาก็ตามเถอะ ทั้งนี้มิพักต้องพูดถึงงานพิธีที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ สภาพของคนใส่สูทในสภาวะแบบนั้นมันก็คือ “นรก” เราดีๆนี่เอง

พูดถึง “นรก” เราจะพบว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพใน “นรก” นั่นแตกต่างกันไปตามภูมิอากาศและภูมิประเทศ  แม้ว่าคนหลายๆเชื้อชาติหลายเผ่าพันธุ์ต่างเชื่อหรือเคยเชื่อเรื่อง “นรก” เหมือนกันว่า นรกเป็นดินแดนที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย คนที่ตายไปแล้วต้องลงไปอยู่ในนรกต้องทุกข์ทรมานยิ่ง แต่อากาศในนรกของคนแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไป “นรก” ของคนเมืองหนาวจะมีอากาศที่หนาวเย็นกว่าความหนาวเย็นที่พวกเขาเคยมีบนโลก ส่วนคนเมืองร้อน “นรก” ก็มีอากาศที่ร้อนตับแตกกว่าหน้าร้อนครั้งไหนๆบนโลกจะเทียบได้ ส่วน “นรก” ของคนแถบลุ่มแม่น้ำไนล์นั้น พวกเขาเชื่อว่า “นรก” มีสภาพเป็นเมืองบาดาล เพราะทุกๆปี กระแสน้ำจะพัดพาคร่าชีวิตคนจำนวนมาก คนแถวน้ำจึงเข้าใจว่านรกเป็นเมืองบาดาล

คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังใส่และนิยมเคารพการใส่สูทและคนใส่สูทอยู่ (ไม่ว่าจะใช้ผ้าเบาบางอย่างไร มันก็ร้อนอยู่ดี เพราะมันต้องสวมสูททับเสื้อตัวในอยู่ดี) ถ้าพวกเขาไม่รู้สึก “นรก” กับการใส่สูทแต่ประการใด เพราะอยู่ในห้องปรับอากาศตลอด (หรือกลายพันธุ์ไปแล้ว นั่นคือไม่ร้อนแม้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ !) แต่สำหรับผู้เขียน มันเป็น “นรก” เลยทีเดียว และการเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลาในอุณหภูมิเย็นจัดเพื่อทำให้การใส่สูทของพวกเขาไม่เป็น “นรก” สำหรับพวกเขา แต่การใช้พลังงานมหาศาลและไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศ ตลอดจนการออกแบบอาคารบ้านเรือนที่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศเท่านั้น มันก็ได้สร้างความเป็น “นรก” (ภาวะโลกร้อน) ให้กับคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างผู้เขียนและพี่น้องมนุษย์อีกจำนวนมหาศาลทั่วโลก!                                                                                                  

เครื่องแต่งกายประจำชาติ