posttoday

ปิดทางอำนาจนอกระบบ “บิ๊กตู่”สู้ต่อ ....เฮือกสุดท้ายล็อคดาวน์อีก 2เดือน

31 กรกฎาคม 2564

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

******************

ตลอดสัปดาห์เกิดกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงการเมือง ในโลกโซเชียลทั้งประเด็น “นายกฯพระราชทาน” จากการจุดพลุของชนชั้นนำพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทั่งการปูดข่าวรัฐประหาร เพราะฝ่ายสนับสนุน “บิ๊กตู่” มองว่า ประชาชนหมดความเชื่อมั่น หาก พล.อ.ประยุทธ์ แก้วิกฤตโควิดต่อไป จะยิ่งทำให้พังกันทั้งรัฐบาล กระแสกดดันให้ลาออก แต่พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันล่าสุดผ่านคลิปของทีมโฆษกรัฐบาลหลังถูกถามจะถอดใจลาออกหรือไม่ว่า

“ยังไม่ใช่เวลา วันนี้ทำงานหนักทุกวัน ผมพยายามทำอย่างที่สุดแล้ว ด้วยการฟังเสียงประชาชน

…ประเทศกำลังมีปัญหาต้องเข้าใจตรงกันตรงนี้ เรื่องการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าใช้โอกาสตรงนี้มาทำให้ทุกอย่างมีปัญหาก็แล้วกัน"

กระแส “นายกฯพระราชทาน” สะท้อนความหวังสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษ์ที่จะรักษารัฐบาลไว้ และยังเป็นตัวบ่งชี้ความไม่เชื่อมั่นในพล.อ.ประยุทธ์ ของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเอง

แต่ “นายกฯพระราชทาน” ที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการเมืองในอดีต ณ วันนี้ น่าจะปิดประตูตาย ในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งหนักและประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่หมด “คนกลาง” หรือ “ผู้มีบารมี”

อีกสิ่งที่แตกต่างวันนี้กับอดีต คือ ความตื่นตัวทางการเมืองของเยาวชนคนรุ่นใหม่มีสูงเพราะถูกกดทับจากกติกา และความไม่เป็นธรรมของผู้รักษากฎระเบียบบ้านเมือง พลังโซเชียลมีบทบาทงัดค้างกับฝ่ายอำนาจนิยม หากเกิดการรัฐประหาร หรือ ฉีกรธน. ขึ้นมาอีก การต่อต้านยิ่งสูง ถึงขืนใจให้มีรัฐบาลใหม่โดยวิถีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สามารถปกครองได้

กลับมาดูสถานการณ์โควิดของไทย ยังไม่เห็นแสงสว่าง ยอดผู้ติดเชื้อทางการใกล้ถึง 20,000 ราย ผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 กค. พุ่งสูงที่ 178 รายต่อวัน วงการแพทย์เชื่อว่า ผู้ติดเชื้อจริงอาจมากกว่านี้มาก พล.อ.ประยุทธ์ ประเมินจากรายงานของคณะแพทย์ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังจะพุ่งไปอีก และอาจสูงถึง 3 หมื่นรายต่อวัน คาดว่า จะใช้เวลาคุมสถานการณ์ 2 เดือนจากนี้

เมื่อเทียบมาตรการล็อคดาวน์ 10 จังหวัด เมื่อวันจันทร์ที่ 12 ก.ค. ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั้งประเทศตอนนั้นอยู่ที่ 3,000กว่าราย วันนี้ผ่านมา 3 สัปดาห์พุ่งไปอย่างน่าตกใจที่ 18,000 ราย คิดเป็น 6 เท่า

ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ทั้งที่การระบาดเดิมอยู่เฉพาะกทม.และปริมณฑล มาจากการมาตรการศบค.ที่ผิดที่ผิดทาง เช่น การปิดแคมป์คนงานในกทม.และปริมณฑลเกือบ 500 แห่ง ตามด้วย ขยายมาตรการล็อคดาวน์เพิ่มอีก 3 จังหวัดปริมณฑล ทำให้คนงานในเมืองกรุงที่ติดเชื้อหนีกลับต่างจังหวัด และไปแพร่เชื้อทั่วประเทศอย่างที่เป็นอยู่

ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คาดอีก 1-2 เดือน สถานการณ์น่าจะดีขึ้นโดยเฉพาะในกรุงเทพวันนี้ยอดพุ่งเตะถึง 4,000 คน เพราะมั่นใจการฉีดวัคซีนคืบหน้าไปมาก แต่สุดท้ายอาจไม่ได้เป็นตามนั้นก็ได้ เห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงาน ประเมินสถานการณ์ผิด ตั้งแต่การปิดแคมป์คนงาน การล็อคดาวน์ ทุกอย่างเลวร้ายกว่าที่คาด เผลอๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อในดือนหน้าอาจไม่ลด ตรงกันข้ามอาจขยายพุ่งติดท็อป 5 ของโลกก็ได้ จุดหักเหของสถานการณ์โควิด ใน 1-2 เดือนข้างหน้า จะเป็นการเดิมพันล็อคดาวน์ครั้งสุดท้าย แต่ถ้าต่ออายุอีก 3 เดือน ตามข้อเสนอของสธ. ประชาชนคงรับไม่ไหวและต้องออกมาชุมนุมขับไล่ เพราะแม้ไม่ติดเชื้อตาย แต่ก็อาจต้องตายผ่อนส่งจากการล็อคดาวน์แทน ส่วนพรรคพลังประชารัฐก็ยิ่งจมไปเรื่อยๆ มิต้องหวังจะกลับมาชนะเลือกตั้งอีก

ไม่ต้องพูดถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยและ พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ปูทาง สร้างเหตุผลที่พร้อมจะชิ่งหนีจาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตลอดด้วยเหตุผล “ก็พล.อ.ประยุทธ์ รวบอำนาจแก้ปัญหาโควิด แต่เพียงผู้เดียว”

เวลานี้ ผู้สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ คิดหนัก อยากจะหากัปตันใหม่เพื่อรักษาเรือแป๊ะ หรือ รักษาฐานอำนาจของฝ่ายรัฐบาลไว้ แต่ก็ทำไม่ได้

แต่การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าไม่เริ่มที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก่อน เช่น ขอลาออก หรือ แสดงความรับผิดชอบ ยอมยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเดินหน้าแก้ปัญหาโควิดต่อ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลจะหนี เขาก็ไม่สน

สมมติเล่นๆ หากเกิดสิ่งไม่คาดฝัน พล.อ.ประยุทธ์ เกิดยอมลาออกขึ้นมา เพราะสถานการณ์ประเทศเลวร้ายระดับมหาวิกฤต แล้วจะเดินอย่างไรต่อ

ตามขั้นตอน จะมีการฟอร์มรัฐบาลใหม่ คนที่เป็น นายกรัฐมนตรีจะต้องเลือกจาก บัญชีของพรรคการเมืองที่เสนอตัวผู้ที่จะเป็นนายกฯเท่านั้น ปัจจุบัน เหลือเพียง 3 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข จากพรรคภูมิใจไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย

ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่อยู่ในบัญชีเสนอชิงนายกฯในนามพรรคเพื่อไทย ก็ย้ายสังกัดไปแล้ว

แต่การเปลี่ยนนายกฯก็ยากอีก โดยเฉพาะคนที่มีภาษีที่สุด คือ นายอนุทิน ในฐานะรองนายกฯ สถานการณ์โควิดที่ประเทศยังหนักหน่วง ไม่มีใครอยากเสี่ยงให้มาเสียคะแนน นายอนุทิน เองก็ถูกไล่พ้นเก้าอี้ สะบักสะบอม จำต้องถนอมตัว รอมาชิงนายกฯหลังเลือกตั้งโอกาสจะสดใสกว่ามาก

อีกทางเลือก หากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไม่สามารถตกลงเลือกนายกฯได้ ก็มีก๊อกสอง คือ หานายกฯนอกบัญชี พรรคการเมือง ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ของรธน.หรือ สูตรรัฐบาลแห่งชาติ

แต่การจะเกิด รัฐบาลแห่งชาติต้องเห็นพ้องกันทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ วุฒิสภา ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอีกเพราะปัจจุบัน คะแนนนิยมของพรรครัฐบาลเป็นรอง ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยมั่นใจจะชนะเลือกตั้ง จากความล้มเหลวของรัฐบาลจากวิกฤตโควิด

สรุป คือ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก การตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นายกฯพระราชทาน ณ วันนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น ทุกอย่างนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งภายในปีเศษจากนี้

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำตอนนี้ ปูทางรองรับการเลือกตั้ง รีแบรนด์ ทักษิณ ชินวัตร จากที่หลบหนีคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาคุก 2 ปี เปลี่ยนฉายาเป็น “โทนี่ วู้ดซัม” ในคลับเฮาส์ตีจุดอ่อนรัฐบาลล้มเหลวแก้โควิดทุกสัปดาห์ และชูจุดแข็งที่จะมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังรัฐบาลประยุทธ์

ทักษิณ ประกาศว่า เขาจะกลับเมืองไทยแน่นอน และคาดว่า เดือนกพ.ปี 2565 หลายคนว่า เขามามุขเดิม เคยบอกจะกลับไทยตั้งแต่ตอนมีม็อบเสื้อแดงที่เขาบอกว่า ถ้ากระสุนนัดแรกดังขึ้นเมื่อไร หรือ พี่น้องบาดเจ็บล้มตาย เขาจะกลับประเทศแน่ แต่สุดท้ายผ่านมา 11 ปี ยังอยู่ต่างประเทศ

การประกาศของทักษิณ แน่นอนเป็นแผ่นเสียงตกร่อง เกิดขึ้นไม่ได้จริง ถ้าไม่มารับโทษก่อน หรือไม่ ต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ก็ต้องปลุกความขัดแย้งในประเทศอีกครั้ง กระนั้น นัยยะที่พูดเพื่อกระตุ้นให้แฟนคลับ นึกถึงผลงานด้านปากท้องของเขา และบอกให้ลูกพรรคเพื่อไทยเกิดความมั่นใจ อย่าย้ายพรรคหนี ท่ามกลางข่าว พรรคภูมิใจไทย และ พลังประชารัฐ เปิดดีลทาบ สส.เพื่อไทย ให้ย้ายออก

แกนนำพรรคเพื่อไทยมองด้วยว่า ทั้งพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย รวมถึงประชาธิปัตย์ จะไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่จะเป็นโอกาสของเพื่อไทยที่จะกลับมาอย่างถล่มทลายมากพอรวมถึงการแก้ไขรธน.เป็นบัตรสองใบที่ช่วยให้ได้เปรียบ จนสามารถกดดันให้วุฒิสภายอมให้การเลือกนายกฯเป็นเรื่องสภาผู้แทนราษฎรเพียงฝ่ายเดียว ทักษิณ ยังคาดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยุบสภา ลากยาวได้แค่เดือน ก.พ.หรือ มี.ค. เพราะจะถูกกระแสความไม่พอใจของคนกรุงกดดัน

โดยสรุป ฝ่ายค้านไม่มีทางจะส่งใครมาสลับขั้ว เป็นนายกฯ หากเกิดมีอุบัติเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองช่วงนี้ แต่จะใช้จังหวะนี้จนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ และ สอง ป. ในเดือนส.ค. ขยายแผลการแก้ปัญหาโควิดที่ไร้ประสิทธิภาพ การจัดสรรวัคซีนที่ช้า ไม่ทันการณ์ ยังเล่นการเมืองแย่งซีนอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาล จนประชาชนเดือดร้อน

เวทีอภิปรายของฝ่ายค้านครั้งนี้จึงสำคัญมาก ประหนึ่ง รอต้อน พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามุมรัวหมัดน็อคนับสิบกองกับพื้นลามไปพลังประชารัฐให้ไม่ฟื้นไปถึงหลังเลือกตั้ง

*******************

--