posttoday

บิ๊กคลีนนิ่ง “กองทัพ”พ้นแดนสนธยา....อย่าแค่ไฟไหม้ฟาง

16 กุมภาพันธ์ 2563

โดย ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

*************

เหตุการณ์จ่าคลั่งสังหารโหด 30 ศพ เป็นโศกนาฎกรรมสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศ ก่อให้เกิดบทเรียนกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากมายที่ต้องรีบสรุปเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำ

หากแยกย่อยแล้ว มีทั้งปัญหาภายในกองทัพ การรายงานข่าวของสื่อที่ถูกวิจารณ์หนัก ทั้งการละเมิดญาติเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เป็นผู้ช่วยอาชญากรโดยไม่รู้ตัว ปัญหาในโลกยุคโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบความรุนแรงสุดขั้ว

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ปัญหาความอยุติธรรมภายในกองทัพ ที่ถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอย่าง “จ่าคลั่ง”เก็บกดถึงขั้นสังหารคนไม่เลือกหน้าเพื่อฟ้องชาวโลกว่า เขาถูกผู้บังคับบัญชากดขี่ เอารัดเอาเปรียบ

แม้นี่เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นกับกองทัพจากปัญหาภายในที่เรื้อรังมานานนม จนโผล่ขึ้นเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง ไม่ใช่แค่ในกองทัพ แต่ออกมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็เป็นโอกาสที่ ผู้นำกองทัพ จะสะสาง กวาดบ้านตัวเอง เปิดให้มีการตรวจสอบระบบภายในอย่างตรงไปตรงมา และต้องมีมาตรฐานเหมือนหน่วยงานอื่น เพื่อให้ “กองทัพ” ดำรงอยู่อย่างสง่างาม เป็นองค์กรด้านความมั่นคงสะอาดโปร่งใส ลบคำครหาที่มีมาตลอดว่า กองทัพเป็นแดนสนธยา พัวพันกับธุรกิจและผลประโยชน์สีเทา

สำหรับ “บิ๊กแดง” เอง มีความหาญกล้าที่ออกมายอมรับกับประชาชนถึงปัญหาในกองทัพที่มีมากมายสารพัด แม้ที่แถลง จะพูดถึงปัญหาเพียงบางส่วน แต่ก็นำร่องให้เห็นความตั้งใจว่า จะยกเครื่อง สะสางปัญหาอย่างจริงจัง ในช่วงเวลาที่เหลือ  6 เดือน ก่อนเกษียณตุลาคมนี้ ผู้บังคับบัญชารายใดที่ทุจริต ไม่รับผิดชอบ จะถูกโยกย้ายทันที ล่าสุดไฟเขียวให้แม่ทัพภาค 2 สั่งย้าย 'พ.อ.-พ.ท.' ที่พัวพันทุจริตในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็ยังต้องดูต่อไปว่าจะจริงจังแค่ไหรือแค่ไฟไหม้ฟาง

มูลเหตุของโศกนาฎกรรมครั้งนี้ “บิ๊กแดง” สรุปมาจาก “โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายให้เจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้น้อย” ซึ่งต้องกู้เงินสวัสดิการของกองทัพมาผ่อนชำระ โดยพบว่า ผู้บังคับบัญชาที่ถูกจ่าคลั่งยิงได้ร่วมมือกับแม่ยาย ร่วมทำธุรกิจสร้างบ้านและขายที่ดินจนเกิดปัญหาการอมเงิน ไม่แบ่งค่านายหน้าให้ “จ่าคลั่ง” ที่ไปขอซื้อบ้านและกู้เงินจากแม่ยายผู้บังคับบัญชา พร้อมกับชักชวนเพื่อนมาเข้าโครงการอีก เลยต้องแก้แค้นยิงทั้งเจ้านายและแม่ยายเสียชีวิต

โครงการบ้านสวัสดิการทหารหรือที่ดินจัดสรรที่ตัดแบ่งขายเป็นแปลงๆ มีขึ้นในหลายจังหวัด ปัญหาที่เกิดขึ้น สื่อมวลชนรายงานว่า ในค่ายทหารอีกหลายพื้นที่ ก็มีการเอารัดเอาเปรียบนายทหารชั้นผู้น้อยในโครงการสวัสดิการต่าง ๆ เงื่อนไขในการกู้เงินที่ไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ เฉพาะในค่ายทหารของจ่าคลั่ง เล่ากันว่า ถูกโกงอีกจำนวนไม่น้อย

ปัญหาอื่นที่ ผู้นำกองทัพ ยอมรับจากโศกนาฎกรรมครั้งนี้ คือ กรณีจ่าคลั่งมีอาวุธปืนส่วนตัวมากถึง 5 กระบอก และนำมาใช้ก่อเหตุ โดยพบว่า มีนายหน้าเร่ขายอาวุธปืนหาประโยชน์ร่วมกับทหารบางราย นอกนั้นก็เป็นความหละหลวมในการดูแลคลังอาวุธของกองทัพ มาตรการรักษาความปลอดภัยในค่ายทหารที่ไม่เข้มงวด ปล่อยให้มีการปล้นปืนไปก่อเหตุได้อย่างง่ายดาย การแก้ปัญหาที่ล่าช้า เพราะหากยับยั้งเหตุการณ์ให้จบได้ตั้งแต่ในค่ายทหาร ความสูญเสียก็จะไม่มากมาย สะเทือนใจขนาดนี้

แต่ปัญหาใหญ่สุดที่ถูกพูดมากสุดคือ “ความไม่เป็นธรรม”ภายในกองทัพนั่นแหละ ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ เจ้านายกับลูกน้อง

ภาพติดตาง่ายๆ คือ การซ้อมทหารเกณฑ์จนเสียชีวิตในค่ายปรากฎเป็นข่าวตลอด การเอาทหารเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ในบ้านพักส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา ไปเลี้ยงไก่ ล้างรถ ถูบ้าน ทำกับข้าว

การประกอบธุรกิจในกองทัพนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่ ผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับบิ๊กทหารทั้งหลาย ทั้งการจัดตั้งบริษัท ประมูลงานก่อสร้างต่างๆ ในกองทัพ ตรวจสอบได้ยากแถมยังเปิดช่องให้มีการทุจริต รวมถึง การทำธุรกิจเทาๆทั้งหลายจนเกิดคำว่า “ทหารมาเฟีย” เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ธุรกิจใต้ดิน

อีกหลายเรื่องที่ “บิ๊กแดง” ยอมรับเป็นปัญหา คือ การดูแลผลประโยชน์ในพื้นที่ราชพัสดุของกองทัพ คะเนว่า มีอยู่ 7.5 ล้านไร่จาก 12.5 ล้านไร่ทั่วประเทศ เพื่อความโปร่งใสจากนี้ “บิ๊กแดง” ประกาศเริ่มโครงการนำร่องลงนามกับกระทรวงการคลัง ในวันที่ 17 ก.พ.นี้ ให้มาช่วยบริหารธุรกิจเหล่านี้ เบื้องต้น กำหนดไว้ที่โรงแรมสวนสนประดิพัทธ์ชื่อดัง จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมถึง สนามกอล์ฟในพื้นที่ทหาร โดยให้แบ่งสัดส่วนรายได้ เงินนอกงบประมาณเข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้

รายได้จากเงินนอกงบประมาณของกองทัพยังมีอีกหลายเรื่องที่ “บิ๊กแดง”  ไม่ได้กล่าวถึง ที่มีการพูดกันมาก คือ ค่าเช่าโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ทีวีดิจิตัล คลื่นวิทยุ ที่เหล่าทัพเป็นเจ้าของอยู่หลายร้อยสถานี เป็นเสมือนขุมทรัพย์มหาศาลหลายหมื่นล้าน ตรงนี้จะทำให้โปร่งใสหรือไม่ในวาระที่จะยกเครื่อง ธุรกิจ รายได้ของเหล่าทัพทั้งหมด

แต่ที่ฮือฮา คือ “บิ๊กแดง” ประกาศเอาจริง คือ ให้ทหารที่เกษียณคืนบ้านพักตามหน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนสวัสดิการ ขีดเส้นภายในเดือน ก.พ.63 ใครที่อยู่โดยไม่ถูกต้อง จะต้องย้ายออกจากหน่วย เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีบ้านมาอยู่ แต่เชื่อได้เลย ทำไม่ได้ ถ้าได้ก็แค่ทหารเกษียณธรรมดา คงไม่กล้าไล่บี้ “บิ๊กทหาร” คนดังในอดีต หรือ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และก็จริง ...เพราะแค่เพียงประกาศออกมา ก็มีการออกข่าวว่า เรื่องนี้ยกเว้นให้ทหารเกษียณบางรายที่ยังอยู่ได้ เพราะทำคุณประโยชน์ ความดีงามให้กับประเทศ เช่น อดีตนายกฯ อดีตส.ว. อดีตครม.

ปัญหาคือ ไม่มีใครรู้ว่า บิ๊กทหารเกษียณ ร่ำรวยเหล่านี้ ใครบ้างที่อยู่บ้านพักทหาร หลักเกณฑ์ที่ว่า ทำคุณประโยชน์แผ่นดิน คืออย่างไร แค่ดำรงตำแหน่งดังที่กล่าวมาเพียงพอหรือไม่ที่อยู่ได้อยู่บ้านหลวงยาวนานจนชีวิตจะหาไม่ แถมยังมีนายทหารไปดูแลรับใช้อีก

ข้าราชการกระทรวงอื่น ที่ไม่ใช่ทหาร ถ้าใช้ของหลวงมาเป็นประโยชน์ส่วนตัวถือว่า ผิดกฎหมาย ศาลอาญาก็ตัดสินมาแล้ว บิ๊กข้าราชการที่เอารถหลวงไปทำธุระส่วนตัวต้องติดคุก ส่วน ป.ป.ช. ก็ชี้มูลความผิดคดีเช่นว่านี้ อีกหลายคดี

แต่ละเรื่องหากจะสังคายนา ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ สังคมตั้งคำถามมานาน เพราะกองทัพใช้เงินภาษีประชาชน ย่อมต้องถูกตรวจสอบได้ ไม่ควรมีอภิสิทธิ์ หรือ อ้างความมั่นคง

แม้ ผบ.ทบ.จะเจตนาดีเพื่อกวาดบ้านตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะปัญหาเหล่านี้ล้วนใหญ่โตในเชิงโครงสร้าง และถูกซุกใต้พรมมานาน จะให้ใครคนใดคนหนึ่งมาแก้กันเองย่อมไม่มีทางสำเร็จ ผู้คนก็ยังคงกังขาต่อไปว่า ทำแค่ลูบหน้าปะจมูก แค่ลดกระแส ผลผลิตจากปัญหาความไม่เป็นธรรมในกองทัพจน “จ่าคลั่ง” ออกมายิงกราดประชาชน ต้องให้สังคม หรือ กลไกในสภาผู้แทนราษฎร ช่วยตรวจสอบเพื่อไม่ให้ “คนส่วนน้อย” ไปหาประโยชน์ให้ตนเอง รังแต่จะทำให้กองทัพเสื่อมเสีย

วันนี้กองทัพไม่สามารถปฏิเสธการถูกตรวจสอบจากภาคประชาสังคมได้ โดยเฉพาะในยุคที่กองทัพเองตกเป็นเป้าโจมตีหนักหน่วง เพราะเข้ามาทำรัฐประหาร จนมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพ เมื่อ ผบ.ทบ.กล้าจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องทำอย่างสุดกำลัง แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ดูแลทุกชีวิตของทหารชั้นผู้น้อย ไม่ให้ถูกกดขี่ จนระเบิดออกมาเป็นความรุนแรง และ ต้องทำให้กองทัพขาวสะอาด เป็นภูมิคุ้มกัน ยืดอกอยู่ได้สง่าผ่าเผย เป็นกองทัพของประชาชนอย่างแท้จริง มิฉะนั้น จะถูกกัดกร่อนลงเรื่อย ๆ