โศกนาฏกรรมในพระราชวังชางคยอง (Moonlight Tour 3)
โดย ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย [email protected]
โดย ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย [email protected]
ทางเดินบนถนนหินที่ทอดยาวสู่ภายในพระราชวัง “ชาง-คยอง” ดูวังเวงยิ่ง ในคืนที่หนาวเหน็บนี้แสงไฟที่วางไว้ตามแนวถนนดูมัวสลัว หลังจากผ่านด่าน “แมวดำทำใจ และ โตแกบิ” ที่สะพาน “อ๊กชอนเกียว” มาแล้ว เราคาดว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราตกใจได้มากกว่านี้อีก...
เบื้องหน้าของเรา คือ ประตู “มยอง-จอง-มุน” ที่เปิดเข้าไปสู่ พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระราชวัง ก็คือ “ท้องพระโรง” ของพระราชวังนี้ โดยศาสตร์ที่ปฏิบัติตามประเพณีของราชวงศ์
โชซอน กษัตริย์อยู่ทางเหนือ ประชาชนอยู่ทางใต้ ดังนั้น พระที่นั่งที่ออกว่าราชการทั้งหลายจะต้องหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อให้กษัตริย์มองมาทางประชาชน แต่ “มยอง-จอง-จอน” กลับหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เนื่องจากมีสิ่งสำคัญที่ขวางทางอยู่ ได้แก่ ศาลเจ้า “จงเมียว” ซึ่งเป็นศาลที่สถิตป้ายวิญญาณบรรพบุรุษของราชวงศ์ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ถ้าทำประตูพระราชฐานออกทางใต้ก็จะเล็งสู่ศาลเจ้าพอดี ซึ่งถือว่าผิดฮวงจุ้ยอย่างแรง ประตูหน้าของพระราชวังแห่งนี้จึงหันออกด้านตะวันออกรับอรุณยามเช้า ที่มีภูเขา “นักซาน” อยู่เบื้องหน้า ในสมัยนั้นที่ยังไม่มีตึกรามบ้านเรือนประชาชนแน่นขนัดอย่างปัจจุบัน ด้านหน้า
ประตูเห็นภูเขาก็ทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามมิใช่น้อย
ตามประวัติศาสตร์ของพระราชวังในเกาหลีนั้น เกือบทุกพระราชวังถูกสร้างแล้วถูกทำลายมาหลายครั้งหลายหน เนื่องจากถูกรุกรานทั้งจากจีนและญี่ปุ่นต่อเนื่องหลายร้อยปี ในระหว่างที่ญี่ปุ่นบุก ช่วง ค.ศ. 1592-1598 พระราชวัง “ชาง-คยอง” ถูกไฟไหม้ และพระตำหนักในพระราชวังส่วนใหญ่ถูกเผาทำลายไปเยอะ ต่อมาในปี 1616 จึงได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ โดยเริ่มต้นที่ พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน” ถือเป็นพระที่นั่งที่ซ่อมแซมครั้งสุดท้ายแล้ว มีอายุเก่าแก่ที่สุดของราชวงศ์โชซอน
พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน” ในยาม 3 ทุ่มคืนนี้ ถูกตามไฟไว้ภายในเห็นแสงนวลออกมาสู่ภายนอก เมื่อเดินมาถึงบันไดทางขึ้น จะเห็นบันไดแบ่งเป็น 3 ช่อง ซ้าย กลาง และขวา บันไดช่องกลางนั้นเป็นบันไดมังกรเว้นไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น เพลานี้หากไม่กลัวว่าจะมีมือที่มองไม่เห็นมาเคาะตาตุ่มหรือขัดขาให้ตกบันไดก็เชิญเดินขึ้นบันไดกลางได้เลยค่ะ...ประตูหน้าเปิดโล่งและภายในมีบัลลังก์ขนาดเล็กตั้งอยู่กลางท้องพระโรงพอเหมาะกับขนาดของพระที่นั่ง
ก่อนการสร้าง พระราชวัง “ชาง-คยอง” ในเวลานั้น พระราชวัง “ชางด๊อก” เป็นที่พำนักของทั้งพระพันปี ทั้งนางสนมกำนัลของกษัตริย์องค์ก่อนๆ ที่สวรรคตไปแล้ว และด้วยเหตุที่แต่ไหนแต่ไรมา ผู้หญิงมักอายุยืนกว่าผู้ชาย จึงทำให้มีบรรดาฝ่ายในมาอยู่อาศัยเยอะขึ้นเรื่อยๆ เกิดความแออัด พื้นที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอ ไม่สมพระเกียรติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้าง พระราชวัง “ชาง-คยอง” ขึ้นมาแล้วโยกย้ายราชวงศ์ฝ่ายหญิงเข้ามาอยู่ที่ใหม่นี้ พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน” จึงถูกใช้โดยเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในเวลานั้นๆ เป็นส่วนใหญ่
ส่วนพระตำหนักที่เป็นพระราชฐานของอดีตราชินีของกษัตริย์องค์ก่อนๆ อยู่เลยจาก พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน” เข้าไปทางด้านขวา (เมื่อหันหน้าเข้า พระที่นั่ง “มยอง-จอง-จอน”) มีชื่อตำหนักว่า “ทง-มยอง-จอน” เป็นพระตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังชาง-คยอง และก็มีตำนานที่น่ากลัวเกี่ยวกับพระตำหนักนี้ด้วย... (คำแนะนำ...อ่านบทความนี้เวลากลางวันจะเหมาะกว่า...)
พระตำหนัก “ทง-มยอง-จอน” ตั้งอยู่บน “กิดาน” หรือแท่นหินใหญ่ บริเวณหน้าพระตำหนักมีลานหินอันกว้างใหญ่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีหรือทำกิจกรรมต่างๆ...ที่ลานหน้าพระตำหนักนี้แหละที่เกิดเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวในสมัยพระเจ้าซุกจง (ค.ศ. 1661-1720) หากใครดูซีรี่ส์เกาหลี เรื่อง “จาง อ๊ก จอง ตำนานรักคู่บัลลังก์” ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริงในราชวงศ์ คงจำได้ว่า นางจาง เป็นสามัญชนที่ได้เป็นถึงพระสนมชั้นที่ 1 พระยศ “จางฮีบิน” ที่พระเจ้าซุกจงทรงโปรดปรานมาก และต่อมา พระสนม “จางฮีบิน” ได้มีพระประสูติการพระราชโอรส ในขณะที่ “พระราชินีอินฮยอน” ไม่สามารถมีพระโอรสธิดาได้ ประกอบกับความวุ่นวายภายในของขุนนางที่เป็นฐานอำนาจของพระสนมกับราชินีแก่งแย่งชิงดีกัน พระเจ้าซุกจงจึงสั่งประหารขุนนางฝ่ายสนับสนุน “พระราชินีอินฮยอน” พร้อมทั้งถอดยศเนรเทศ “พระราชินีอินฮยอน” ออกจากพระราชวังไป พระสนม “จางฮีบิน” จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระราชินี และพระราชโอรสได้เป็นองค์ชายรัชทายาท
ต่อมาพระเจ้าซุกจงกลับมีพระราชโองการคืนพระอิสริยยศให้อดีต “พระราชินีอินฮยอน” และเชิญเสด็จกลับมาประทับอยู่ในพระราชวังตามเดิม และให้ลดพระอิสริยยศพระมเหสี “จาง” กลับไปเป็นพระสนมเอกฮีบิน หลังจากนั้น
อีก 6 ปี “พระราชินีอินฮยอน” ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตอย่างน่าสงสัยด้วยวัยเพียง 34 พรรษา ในพระราชวัง ชาง-คยอง แห่งนี้เอง...ไม่นานนัก พระเจ้าซุกจงสงสัยในการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีอินฮยอน จนสืบทราบได้ว่า “พระสนมเอกฮีบิน” ได้ทำพิธีสวดสาปแช่งให้พระราชินีอินฮยอนให้สวรรคต ที่แท่นบูชาหน้าพระตำหนัก “ทง-มยอง-จอน” บางตำนานบอกว่า พระราชินีอินฮยอนมาเข้าฝันพระองค์ และนำพาพระองค์ไปจนพบการทำพิธีสาปแช่งและหมอผีเข้ามาใช้ลูกศรกระหน่ำแทงไปที่หุ่นที่ใช้เป็นตัวแทนพระองค์พระมเหสีอินฮยอนในเวลากลางคืน (เรื่องราวของพระมเหสีอินฮยอนได้ถูกค้นพบในภายหลังในบันทึกที่ชื่อว่า “อิน ฮยอน วังฮู จอน”- 인현왕후전 ซึ่งเป็นบันทึกลับ เขียนโดยนางกำนัลของพระองค์)
ในที่สุด พระเจ้าซุกจงจึงมีพระราชโองการให้ปลด พระสนมเอกฮีบิน ลงเป็นสามัญชนพร้อมกับพระราชทานยาพิษให้ดื่มจนสิ้นใจตายที่พระตำหนักนี้ พระศพของพระสนมฮีบินก็ถูกขนย้ายออกไปนอกพระราชวังผ่านประตู “ซอนิมมุน” ประตูด้านข้างที่น่าอัปยศอดสู แทนที่จะเป็นประตู “ฮงฮวามุน” ซึ่งเป็นประตูหน้า เป็นเรื่องน่าอนาถใจเรื่องหนึ่งของราชวงศ์โชซอน...


