posttoday

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

01 กรกฎาคม 2560

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของประเทศภูฏาน ว่าเป็นแผ่นดินเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยขุนเขา ดั่งอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย

โดย...อันนา สุขสุกรี

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของประเทศภูฏาน ว่าเป็นแผ่นดินเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยขุนเขา ดั่งอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย และหลายคนก็คงเคยได้ยินชื่อประเทศนี้เมื่อ 11 ปีก่อน

 ในปี 2560 นับเป็นปีที่สำคัญยิ่งอีกครั้งในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรภูฏาน ด้วยการเฉลิมฉลองครบรอบ 110 ปี อันยืนยาวในการก่อตั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค. 2450 พิธีราชาภิเษก รัฐธรรมนูญแห่งประชาธิปไตย ที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นับเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกในรอบปีนี้

 ทั้งในเดือน มี.ค.ของทุกปียังนับเป็นเดือนแห่งประชาธิปไตยและอิสระ ถือเป็นความหวังและความเชื่อมั่นที่พระมหากษัตริย์และรัฐสภาจะสามารถสร้างความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ Gross National Happiness (GNH) เป็นแนวคิดที่มีขึ้นกว่า 40 ปี เพื่อต้องการเน้นการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ดูแลป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎร

 110 ปี ราชวงศ์ภูฏาน และความสัมพันธ์ไทยสู่ 3 ทศวรรษ

ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับภูฏาน

 ประเทศภูฏานอยู่ท่ามกลางความสนใจของชาวโลกมาหลายทศวรรษ นับแต่การปรากฏภาพของเจ้าชาย จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เมื่อครั้งดำรงเป็นมกุฎราชกุมารจิกมีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เสด็จในฐานะพระราชอาคันตุกะ พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งราชอาณาจักรไทย

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

 เรื่องราวของประเทศเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัยที่ชื่อ “ภูฏาน” ได้สร้างสัมพันธไมตรี เชื่อมโยง และยกระดับมิตรภาพให้แนบแน่นหลากหลายมิติ

 ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมกองทุนพัฒนาเยาวชน กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน สมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก สมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน เสด็จพระราชดำเนินทรงร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับภูฏาน

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ Chimmey Pem ผู้อำนวยการสภาการท่องเที่ยวภูฏาน ในงานเทศกาลสานสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ 1 จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พรรณพิมล สุวรรณพงศ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงธากา กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เข้าร่วมงานด้วย

 และเปิดงานเทศกาล โดยมีการแสดงทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ รวมถึงการจัดนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 การออกบูธประชาสัมพันธ์ของทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ร่วมมือกันในด้านต่างๆ

 การจัดงานเทศกาลสานสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่าไทยและภูฏาน จะสานสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษแล้วก็ตาม ซึ่งการลงนามเอ็มโอยูการท่องเที่ยวครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ที่มีการพัฒนาอย่างยกระดับชั้นขึ้นอีกขั้น แต่อยู่ในกรอบจากครั้งแรก ที่ลงนามความร่วมมือการท่องเที่ยวไว้เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2554 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกันในอีกหลายด้าน อาทิ ความร่วมมือด้านตลาดท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนข้อมูลท่องเที่ยว การอบรมด้านการท่องเที่ยว และการพัฒนาบุคลากรและศักยภาพของสินค้าท่องเที่ยว

 หลังจากนี้ ททท.และสภาการท่องเที่ยวภูฏาน จะจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกัน และเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาร่วมกันภายใต้แนวคิด "Two Kingdoms One Destination" พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพของทั้งสองประเทศ 

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า

ภูฏานเป็นแดนดินแห่งพุทธศาสนามาตั้งแต่การก่อตั้งประเทศ แม้การตั้งกฎหมายหรือการวางนโยบายด้านต่างๆ ยังมาจากหลักการของศีล 5 หรือคุณธรรมอันดีงาม โดยจะเห็นได้จากในประเทศภูฏานไม่ยอมให้มีโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งผิดต่อศีลธรรมอันดีของการห้ามล่วงละเมิดซึ่งการทำร้ายต่อชีวิตผู้อื่น

 ประเทศภูฏาน เปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อต้นปี 2531 ซึ่งจะต้องผ่านองค์การท่องเที่ยวแห่งรัฐเพียงผู้เดียว (Tourism Authourity of Bhutan : TAB) เพื่อวางกรอบจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อให้เป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และจะได้ไม่สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวภูฏานที่ชาวภูฏานหวงแหน

การพัฒนาของภูฏาน ไม่ใช่เพียงเฉพาะขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ภูฏานยังมุ่งพัฒนาศักยภาพทางด้านการศึกษาและการสาธารณสุข โดยรัฐวางนโยบายให้ประชาชนในประเทศสามารถเรียนและรักษาพยาบาลได้ฟรีทุกคน หรือการปลูกฝังให้ประชาชนรักษาในเอกลักษณ์เฉพาะของภูฏาน ด้วยการใส่ชุดประจำชาติทั้งภาครัฐและเอกชน การร่วมมือกันรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งหมดนี้ประชาชนในประเทศพร้อมใจกันทำตามกรอบนโยบายอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องมีการควบคุม

พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) รัชกาลที่ 5 แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมทุกข์สุขราษฎรแม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทรงเป็นแบบอย่างในทุกด้าน และทรงวางหลักการการทรงงานด้านต่างๆ ก็เพื่อความสุขประชาชนของพระองค์

สมดั่งพระราชกระแสในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปี 2515 ที่ว่า “Gross National Happiness (GNH) is more important than Gross National Product and Gross Domestic Product (GNP และ GDP).” ความสุขมวลรวมของผู้คนภายในประเทศมีความสำคัญกว่าผลผลิตรวม (หรือรายได้รวม) ของประเทศ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาราชอาณาจักรภูฏานไปสู่จุดยืนที่สงบ มั่นคง และเป็นแบบอย่างให้กับสังคมโลกที่บอบช้ำจากการพัฒนาประเทศจากระบบทุนนิยม

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

 “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economic) ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นสิ่งสำคัญที่พระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงให้ความสนพระราชหฤทัย ด้วยเพราะหลักการพอเพียงได้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในแบบของพระองค์ พระองค์ทรงยกย่อง ชื่นชม และทรงเรียนรู้มาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์

 ความสัมพันธภาพระหว่างราชวงศ์ต่อราชวงศ์เกิดก่อและดำเนินไปอย่างแน่นแฟ้น จนนำสู่ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ระหว่างรัฐบาลประเทศไทย และรัฐบาลประเทศภูฏาน รวมถึงความสัมพันธ์ในภาคเอกชนของประเทศไทย ทั้งภาคการศึกษา เศรษฐกิจวัฒนธรรม ฯลฯ ที่ส่งทอดเรื่องราวและความเกื้อกูลกันในมิติต่างๆ อาทิ การจัดสรรพื้นที่ส่วนพระองค์ จัดตั้ง Royal Project เขต Chimipang เมือง Phunaka โครงการหลวงของภูฏาน ที่มีสถานีเกษตรหลวงอ่างขางเป็นต้นแบบแห่งการพัฒนา และเกื้อกูลต่อกัน เป็นต้น

 ในวันนี้หากจะเรียนรู้ประเทศภูฏานให้มากขึ้น ก็นับเป็นการแสดงความเคารพที่มีต่อกัน เพื่อการพัฒนาด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่สำคัญที่นอกจากจะทำความรู้จักกับภูฏานให้แนบแน่นดั่งเช่นอดีตแล้ว เราควรที่จะเรียนรู้สิ่งดีงามจากประเทศเล็กๆ ที่รวยความสุขอย่างล้นเหลือ เพราะความสุขที่แท้ คือ การที่คนในประเทศรู้จักหน้าที่ของตน รู้จักการแบ่งปัน และการรู้จักพอ

สารคดี ‘แผ่นดินพอเพียง’

 ดินแดนแห่งความสุข ไทยแลนด์ แอนด์ ภูฏาน ภาพยนตร์สารคดีอันทรงคุณค่าที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักและความศรัทธาของแผ่นดินที่เปี่ยมไปด้วยความสุข “ภูฏาน” ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า และความรักความผูกพันที่เชื่อมโยงถึงกัน “ประเทศไทย” ดินแดนแห่งรอยยิ้ม สายธารแห่งมิตรไมตรีจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ไหลไปสู่แดนดินเทือกเขาหิมาลัย ก่อเกิดมหามิตรอันดีต่อกัน และตลอดไป

 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 110 ปี การก่อตั้งราชวงศ์ภูฏานและความสัมพันธ์กับไทยก้าวสู่ 3 ทศวรรษ จึงได้มีการจัดทำสารคดี "แผ่นดินพอเพียง" ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นภาพยนตร์สารคดีอันทรงคุณค่า ที่ถ่ายทอดเรื่องราว ความรัก และความศรัทธาของแผ่นดินที่เปี่ยมไปด้วยความสุข “ภูฏาน” ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า และความรัก ความผูกพันที่เชื่อมโยงถึงกัน “ประเทศไทย” ดินแดนแห่งรอยยิ้ม

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

 สายธารแห่งมิตรไมตรีจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ไหลไปสู่แดนดินเทือกเขาหิมาลัย ก่อเกิดมหามิตรอันดีต่อกัน และตลอดไป นับแต่การปรากฏภาพของเจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏานในห้วงมหาวาระ 60 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เรื่องราวของประเทศเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัยที่ชื่อ “ภูฏาน” ก็เริ่มเป็นที่สนใจใฝ่รู้ของผู้คนทั้งสองประเทศ กระทั่ง “ความเป็นไทยและความเป็นภูฏาน” ได้สร้างสัมพันธไมตรีเชื่อมโยง และยกระดับมิตรภาพให้แนบแน่นในหลายๆ มิติ

 ประเทศที่ดูเหมือนอยู่ไกลโพ้นได้กลายเป็นประเทศ “มหามิตรที่ชิดใกล้ดั่งประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง” เรื่องราวแห่งสัมพันธภาพและความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ ได้ส่งทอดออกสู่สายตาแห่งการรับรู้ตั้งแต่ระดับราชวงศ์ต่อราชวงศ์ กระทั่งส่งทอดถึงไพร่ฟ้าประชาชนของทั้งสองประเทศ

 ไม่เพียงแต่เรื่องราวแห่งดัชนีมวลรวม ความสุขของผู้คนภูฏานเป็นที่สนใจของคนไทยและชาวโลก หากแต่เรื่องราว “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็เป็นที่สนพระราชหฤทัยอย่างต่อเนื่องของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งพระองค์ทรงยกย่อง ชื่นชม และรับรู้มาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์

 ความสัมพันธไมตรีระหว่างราชวงศ์ต่อราชวงศ์ได้ก่อเกิดและดำเนินไปอย่างแน่นแฟ้น แนบแน่นสู่ระดับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ระหว่างรัฐบาลประเทศไทยและรัฐบาลประเทศภูฏาน รวมถึงความสัมพันธ์ในภาคเอกชนของประเทศไทย ทั้งภาคการศึกษา เศรษฐกิจวัฒนธรรม ฯลฯ ที่ส่งทอดเรื่องราวและความเกื้อกูลระหว่างกันในมิติต่างๆ ด้วย

 อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ จะสามารถติดตามสารคดีความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน “แผ่นดินพอเพียง” ซึ่งพร้อมออกอากาศสู่สายตาประชาชนของคนทั้งสองประเทศ ทางสถานีโทรทัศน์ของไทย ที่ช่อง TNN24 และช่อง BBS สถานีโทรทัศน์แห่งชาติภูฏาน

วงใน ‘ภูฏาน’

 ประเทศภูฏาน (Bhutan) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรภูฏาน เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีขนาดเล็กและมีภูเขาเป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทิเบต ที่เหลือติดกับอินเดีย ไม่มีทางออกทะเล มีพื้นที่ 38,394 ตารางกิโลเมตร (7.5% ของไทย)

 เมืองหลวงคือ กรุงทิมพู (Thimphu) เมืองสำคัญ เมืองพาโร (Paro) เป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติ เมืองพูนาคา  (Punaka) เป็นเมืองหลวงเก่า ปัจจุบันใช้เป็นพระราชวังฤดูหนาว

 ประชากร 774,800 คน (2558) ประกอบด้วย 3 เชื้อชาติ ได้แก่ 1) ชาชอฟ (Sharchops) ชนพื้นเมืองดั้งเดิม ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออก 2) นาล็อบ (Ngalops) ชนเชื้อสายทิเบต ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตก และ 3) โชซัม (Lhotshams) ชนเชื้อสายเนปาล ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้

 ภูมิอากาศ มีความหลากหลาย บริเวณที่ราบตอนใต้มีอากาศแบบเขตร้อน บริเวณหุบเขาทางตอนกลางของประเทศมีอากาศร้อนและหนาวตามฤดูกาล ส่วนบริเวณเทือกเขาหิมาลัยมีอากาศหนาวจัดในฤดูหนาวและอากาศเย็นในฤดูร้อน

แผ่นดินมังกรสายฟ้า ‘ราชอาณาจักรภูฏาน’ ดินแดนแห่งความสุข

 ภาษาซงข่า (Dzongkha) เป็นภาษาราชการ  ภาษาอังกฤษใช้เป็นสื่อกลางในสถาบันการศึกษาและในการติดต่อธุรกิจ ภาษาทิเบตและภาษาเนปาลมีใช้ในบางพื้นที่

 ศาสนา ศาสนาพุทธมหายาน นิกายกายุบปา (Kagyupa) ซึ่งมีลามะเช่นเดียวกับทิเบต ร้อยละ 75 (ส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติชาชอฟ และนาล็อบ) และศาสนาฮินดู ร้อยละ 25 (ส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติโชซัมทางภาคใต้ของประเทศ)

 ระบบการปกครอง ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (His Majesty King Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ทรงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 5 แห่งภูฏาน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2551

 นายกรัฐมนตรี เชอริ่ง ต็อบเกย์ (H.E. Lyonchhen Tshering Tobgay) ภูฏานจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นครั้งแรกในวันที่ 24 มี.ค. 2551 มีพรรคการเมือง 2 พรรค

 สำหรับชื่อในภาษาท้องถิ่นของประเทศภูฏานคือ Druk Yul แปลว่า "ดินแดนของมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon)" นอกจากนี้ ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Druk Tsendhen และชื่อเพลงชาติ เนื่องจากที่ภูฏาน เสียงสายฟ้าฟาดถือเป็นเสียงของมังกร ส่วนชื่อ ภูฏาน (Bhutan) มาจากคำสมาสในภาษาบาลี ภู-อุฏฺฏาน อันมีความหมายว่า "แผ่นดินบนที่สูง

 สัตว์ประจำชาติ : ทาคิน เป็นสัตว์ที่หายาก เพราะมีอยู่ในดินแดนภูฏานเพียงแห่งเดียว และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ มีลักษณะคล้ายวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่ง บนความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร

 ต้นไม้ : ต้นสนไซปรัสนิยมปลูกตามวัด ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกป๊อปปี้สีฟ้า เป็นดอกไม้ป่าที่พบตามเขตภูเขาในภูฏาน

 อาหารประจำชาติ : อาหารพื้นบ้านเป็นอาหารเรียบง่าย อาหารหลักเป็นทั้งข้าว บะหมี่ ข้าวโพด ยังนิยมเคี้ยวหมากอยู่ อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วย พริก ผักและมันหมู อาหารประจำชาติ คือ Ema datshi ซึ่งประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไชเท้า มันหมูและหนังหมู

 ชาวภูฏานนิยมอาหารรสจัด เครื่องดื่มมักเป็นชาใส่นมหรือน้ำตาล ในฤดูหนาวนิยมดื่มเหล้าหมักที่ผสมข้าวและไข่ ไม่นิยมสูบบุหรี่ นอกจากนั้นมีอาหารจากทิเบต เช่น ซาลาเปาไส้เนื้อ ชาใส่เนยและเกลือ และอาหารแบบเนปาลในภาคใต้ที่กินข้าวเป็นหลัก

 ธงชาติภูฏานสีเหลือง ครึ่งบนของธงชาติ หมายถึง อำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นสีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมสีส้ม ครึ่งล่างของธงชาติ หมายถึง การปฏิบัติธรรมและความเลื่อมใสและศรัทธาของชาวภูฏานที่มีต่อศาสนาพุทธ มังกรที่อยู่ตรงกลางของธงชาติ หมายถึง ประเทศดรุกยุล มีความหมายว่าดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า ตัวมังกรมีสีขาวบริสุทธิ์ อันเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนทุกเชื้อชาติ ทุกภาษาที่อยู่ในประเทศ ท่าทีที่มังกรกำลังอ้าปากคำรามนั้น แสดงออกถึงความมีอำนาจน่าเกรงขามของเหล่าพระผู้เป็นเจ้าทั้งชายและหญิงที่ปกป้องภูฏาน

 สกุลเงินของภูฏานคือ งุลตรัม ซึ่งผูกค่าเงินเป็นอัตราคงที่กับรูปีอินเดีย และเงินรูปียังสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายอีกด้วย แม้ว่าภูฏานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูฏานเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 22.4 ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มใช้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าทาลา

 รายได้หลักของประเทศ มากกว่าร้อยละ 33 ของจีดีพี มาจากการเกษตร และประชากรกว่าร้อยละ 70 มีวิถีชีวิตขึ้นอยู่กับผลิตผลทางการเกษตรด้วย สินค้าส่งออกสำคัญคือไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ซึ่งส่งออกไปยังอินเดีย

 ทรัพยากรธรรมชาติ ในภูฏานมีพื้นที่ป่าถึง 60% มีอุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 4 แห่ง และเขตสงวนธรรมชาติ 1 แห่ง คิดเป็น 35% ของพื้นที่ประเทศ ในพื้นที่ดังกล่าวมีสัตว์และพืชหายากมากกว่า 7,000 ชนิด มีกล้วยไม้เฉพาะถิ่น 300 เขต และพันธุ์ไม้หายากอีกราว 500 ชนิด และมีสมุนไพรหายากราว 150 ชนิด

 ประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฏานเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2532 ความสัมพันธ์โดยทั่วไปมีความใกล้ชิดในระดับราชวงศ์ รัฐบาลและประชาชน ปัจจัยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ได้แก่ การมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ศาสนาพุทธ และไม่เคยตกเป็นอาณานิคมความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ระหว่างไทยกับภูฏานเป็นไปอย่างใกล้ชิด มีการเสด็จเยือนระหว่างราชวงศ์ทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

 ความร่วมมือด้านการศึกษากับภูฏาน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือทางวิชาการกับภูฏานตั้งแต่ปี 2535 เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การแพทย์ สาธารณสุข การศึกษา การท่องเที่ยว การเกษตร และการพัฒนาชนบท เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเป็นไปในรูปของทุนการศึกษาและฝึกอบรม/ดูงานในสถาบันการศึกษาต่างๆ ของไทย โดยดำเนินการในลักษณะรัฐบาลไทยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือภูฏานและไทยร่วมกันออกค่าใช้จ่าย หรือประเทศที่สาม/องค์การระหว่างประเทศเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย

 การดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับภูฏานในปัจจุบันมีความคืบหน้ามากขึ้น และภูฏานให้ความสำคัญที่จะกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับไทยเป็นอย่างมาก

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?