สะพายกล้องท่องเที่ยว วัชรี ศุภลักษณ์
เจ้าของเพจเฟซบุ๊กท่องเที่ยวยุคบุกเบิกคนแรกๆ ของเมืองไทย ต้องกล่าวถึง จิบ-วัชรี ศุภลักษณ์
โดย...รอนแรม ภาพ : วัชรี ศุภลักษณ์
เจ้าของเพจเฟซบุ๊กท่องเที่ยวยุคบุกเบิกคนแรกๆ ของเมืองไทย ต้องกล่าวถึง จิบ-วัชรี ศุภลักษณ์ หรือ มาเรีย ณ ไกลบ้าน แห่งเพจ "สะพายกล้องท่องเที่ยว กับ มาเรีย ณ ไกลบ้าน" ที่เปิดเพจในปี 2543 กระทั่งปัจจุบันมีคนติดตามมากกว่า 3.19 แสนคน
จิบเริ่มสร้างพื้นที่ของตัวเองตั้งแต่เฟซบุ๊กเปิดบริการฟีเจอร์ แฟนเพจ โดยได้นำรูปที่เคยรีวิวในพันทิปมาเก็บเป็นอัลบั้มในเฟซบุ๊ก และยังคงเนื้อหาการท่องเที่ยวอย่างที่เธอถนัดไว้เหมือนเดิม
"เนื้อหาในเพจ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องท่องเที่ยวล้วนๆ บวกกับไลฟ์สไตล์ที่จะไม่เน้นไปที่สินค้ามากมาย แต่จะเน้นไปที่การเดินทางของจิบเองและทริปที่เป็นงาน ประเด็นในเพจจึงเกี่ยวกับการเดินทาง ประกันการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน ที่พักต่างๆ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการเดินทาง รวมถึงการถ่ายภาพและการใช้กล้องถ่ายรูป"
หลังจากมีเพจได้ไม่นาน ฝีไม้ลายมือการถ่ายภาพส่งผลให้เธอรับหน้าที่เป็นแอมบาสซาเดอร์ให้กล้องถ่ายรูปยี่ห้อหนึ่ง ทำให้ลูกเพจขยายไปสู่ช่างภาพมืออาชีพและคนชอบภาพสวยมากขึ้น
"เราเป็นแค่คนธรรมดาที่เดินทางและถ่ายภาพ และมีช่องทางในการเผยแพร่แค่นั้นเอง กลายเป็นว่าคอนเทนต์ของเราดึงดูดคนหลากหลายไลฟ์สไตล์เข้ามา เพจก็เติบโตอย่างช้าๆ ซึ่งเทคนิคการถ่ายภาพจิบได้เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก ค้นหารูปแบบที่เราถนัด เรียนจากกล้องที่เรามี และแต่งรูปน้อยมาก เพราะจิบคิดว่า เราถ่ายธรรมชาติก็ต้องให้รูปเป็นธรรมชาติและความจริงมากที่สุด"
ลักษณะเนื้อหาในช่วงแรกเป็นการเขียนแบบรีวิว หรือไดอารี่ที่อธิบายทุกอย่างตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน และใช้ภาษาพูดเหมือนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง จนกระทั่งเวลาผ่านไปพฤติกรรมคนเล่นเฟซบุ๊กก็เปลี่ยนไปเป็น "อ่านน้อยลง" ทำให้เธอต้องเปลี่ยนสไตล์การเขียนเป็นแบบลิสต์ เช่น 10 ที่ต้องห้ามพลาด หรือ 20 ที่ถ่ายรูปสวย เพื่อตอบโจทย์คนสมัยนี้ที่ต้องการความกะทัดรัด การอธิบายการเดินทางตั้งแต่ก้าวแรกจนไปถึงก้าวสุดท้ายจึงกลายเป็นข้อมูลที่คนเล่นเฟซบุ๊กไม่ต้องการอ่านอีกแล้ว
"การรีวิวเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมคนใช้ ตอนนี้เราไม่ต้องเขียนเป็นไดอารี่ แต่เขียนบอกที่ที่น่าสนใจแล้วให้ลูกเพจไปหารายละเอียดต่อ เราบอกแต่จุดหมายปลายทาง แต่ระหว่างทางจะเป็นอย่างไรให้คนอ่านไปกำหนดเอง หาวิธีที่จะไปถึงตรงนั้นเอง ไม่จำเป็นต้องตามเราทุกอย่างแต่เราแนะนำในสิ่งที่เขาไม่ควรพลาด เพราะมันดีจริงๆ"
พฤติกรรมอีกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังของการทำเพจ คือ การแชร์ ถ้าคนชอบคอนเทนต์หรือรูปหรืออะไรก็ตาม คนไทยจะแชร์ ซึ่งการแชร์จะส่งประโยชน์โดยตรงต่อคนทำเพจหรือบล็อกเกอร์ เธอเล่าว่า ตอนนี้เพจน้องใหม่เติบโตเร็วกว่าแต่ก่อน เพราะการแชร์ทำให้คนเห็นจนมีคนตามเพิ่มเป็นหมื่นๆ คนก็สามารถเป็นไปได้
"เมื่อมีคนกดไลค์เรามาก งานก็จะเข้ามา" จิบกล่าวถึงการต่อยอดของการเป็นเจ้าของเพจ
"เจ้าของเพจจะสามารถหารายได้จากเพจของตน ซึ่งประเด็นนี้คือประเด็นรอง เพราะจิบคิดว่าการได้โอกาสออกไปท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ มันทำให้เรามีคอนเทนต์ มีรูป และมีประสบการณ์ให้ชีวิตเรามากกว่าคิดเรื่องรายได้จากการไปเที่ยว"
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะมีงานท่องเที่ยวต่อเนื่องทุกเดือน แต่ก็ไม่ลืมหาเวลาเดินทางเองเพื่อรักษาความเป็นตัวของตัวเอง โดยแต่ละปีเธอจะแบ่งเวลาให้ตัวเอง 1 เดือนในช่วงปีใหม่ไปกับทริปขับรถเที่ยว (Road Trip)
ทั้งนี้ เหตุที่เปลี่ยนชื่อเพจเป็น "สะพายกล้องท่องเที่ยว กับ มาเรีย ณ ไกลบ้าน" เพราะเธอคิดว่า คนรุ่นใหม่เริ่มไม่รู้จักว่า มาเรีย ณ ไกลบ้าน เป็นใคร ทำเพจเกี่ยวกับอะไร เธอจึงแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนชื่อเพจให้อธิบายตัวตนมากขึ้น "หลายคนคิดว่าเพจมาเรีย ณ ไกลบ้าน เป็นเพจประวัติคนหรือเปล่า ดูจะเป็นเพจที่บ่งบอกความเป็นตัวเองมากเกินไป และไม่สามารถให้ใครเป็นแอดมินแทนได้นอกจากมาเรีย" เธออธิบาย
นอกจากนี้ จิบยังกล่าวถึงข้อจำกัดในการใช้เฟซบุ๊กว่า แอดมินเพจจำเป็นต้องเล่นตามกฎของเฟซบุ๊ก เพราะเมื่อเพจนั้นแอ็กทีฟมากหรือมีคนกดไลค์มาก เฟซบุ๊กจะเข้ามาจำกัดการมองเห็นทันที ดังนั้นเพื่อรักษาลูกเพจและยอดไลค์ไว้ ทำให้ต้องยอมซื้อบูสหรือเสียเงินให้เฟซบุ๊กไปโดยขัดขืนมิได้ ซึ่งเธอเลือกซื้อบูสต์โพสต์แทนการบูสต์เพจ เพื่อหวังให้คนกดแชร์โพสต์มากขึ้น
"จิบไม่ได้เป็นแนวขายของแบบฮาร์ดเซลส์เพื่อหวังรายได้มากๆ เพราะจิบเชื่อว่าคนอ่านจะรู้ว่าอันไหนเป็นความจริง อันไหนเป็นโฆษณา ดังนั้นเราต้องบาลานซ์ให้ดีและเขียนคอนเทนต์ให้น่าเชื่อถือ ถ้าคอนเทนต์ดีมันจะดึงดูดคนให้เข้ามาอ่านซึ่งดีกว่าเสียเงินซื้อเฟซบุ๊ก" จิบทิ้งท้าย
ตัวตนของ วัชรี ศุภลักษณ์ ถูกรักษาไว้ในเพจเฟซบุ๊ก สะพายกล้องท่องเที่ยว กับ มาเรีย ณ ไกลบ้าน และเว็บไซต์ mariajourneys.com ที่รวบรวมเรื่องราวการเดินทางที่น่าสนใจและรูปภาพที่สวยงามจากประสบการณ์ตรงของเธอเอง


