ไฮฟองและเกาะกั๊ตบา ทางเที่ยวใหม่แห่งเวียดนาม
ร่างกายผมสัมผัสได้ถึงแรงจีกดเราให้ติดกับเก้าอี้นั่งเช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่นๆในเครื่องบนิของสายการบินเวียดเจ็ทแอร์
โดย...โยโมทาโร่
ร่างกายผมสัมผัสได้ถึงแรงจีกดเราให้ติดกับเก้าอี้นั่งเช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่นๆในเครื่องบนิของสายการบินเวียดเจ็ทแอร์ ซึ่งกำลังเทกออฟ ทะยานสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่ฮานอยประเทศเวียดนาม เกินครึ่งบนเครื่องบินลำนี้เป็นชาวเวียดนามที่เดินทางกลับหลังจากมาเที่ยวเมืองไทย ที่เหลือเป็นชาวไทยที่อยากไปสัมผัสธรรมชาติอันสวยงามของประเทศนี้
สายการบินเวียดเจ็ทแอร์ เปิดเส้นทางการบินจากประเทศไทยมุ่งสู่ 3 เมืองสำคัญได้แก่ฮานอย, โฮจิมินห์ และไฮฟอง
เราจึงได้มีโอกาสได้เที่ยวเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่คนไทยยังไม่รู้จักมากนักคือเมืองไฮฟองตามข้อมูลที่เราได้รับคร่าวๆ จากคนรอบข้างที่เคยไปเที่ยวไฮฟอง ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย สภาพอากาศในช่วงกลางเดือน ต.ค.ค่อนข้างครึ้มฟ้าครึ้มฝน และมีรายงานพายุเข้าในช่วงที่เราอยู่เที่ยวที่เวียดนาม ก็ต้องลุ้นกันว่า พายุจะะทำให้ทริปการเดินทางต้องเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน แต่นั่นเป็นเรื่องในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า เวลานี้ควรเสพความสุขจากวิววิมานเมฆนอกหน้าต่างไปก่อนที่เราจะถึงไฮฟอง เมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของเราในวันนี้
ไม่นานนักเราก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ กรุงฮานอย แต่สำเนียงคนท้องถิ่นจะเรียกสนามบินโหน่ยบ่าย เป็นสนามบินนานาชาติที่ค่อนข้างทันสมัย แม้จะไม่พลุกพล่านเหมือนกับสนามบินสุวรรณภูมิแต่อีกไม่นานที่นี่คงจะเป็นสนามบินแห่งหนึ่งในโลกที่พลุกพล่านไปด้วยนักเดินทางจากทุกมุมโลก เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเร็วจนน่าตกใจ
หลังจากรับกระเป๋าเดินทางเราก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่ไฮฟอง เส้นทางการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเวียดนาม เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ120 กม. ใช้เวลานั่งรถบัสเดินทางประมาณ3 ชม. เป็นเมืองชายฝั่งที่เจริญแห่งหนึ่งซึ่งอุดมด้วยแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติและทางเที่ยวใหม่แห่งเวียดนามภูมิประเทศที่สวยงาม คำว่า “ไฮ” แปลว่ามหาสมุทร และ “ฟอง” แปลว่าการปกป้อง ดังนั้นชื่อ ไฮฟอง จึงแปลความว่าผืนมหาสมุทรผู้ปกปักษ์แห่งเวียดนาม และด้วยความที่สภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่กลางอ่าวตังเกี๋ย จึงเหมาะสมอย่างมากที่จะทำเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ ธุรกิจท่าเรือ ร้านอาหาร และธุรกิจการท่องเที่ยวเต็มไปด้วยวัดวาอารามและหาดทราย จนทำให้ไฮฟองมีชื่อเล่นว่า “นครแห่งสีสัน(Flamboyant city)”
เราเดินทางถึงไฮฟอง ก็เริ่มด้วยการขับรถตะลุยใจกลางเมืองไฮฟอง เมืองขนาดไม่ใหญ่โตมากนักแต่หนาแน่นไปด้วยผู้คน และร้านค้าริมถนน 2 ข้างทาง ทั้งร้านกาแฟ ร้านเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม) ร้านหนังสือ และร้านขายเสื้อผ้า ไกด์นำเที่ยวบอกกับเราว่าด้วยความที่เป็นประเทศที่ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบและจารีตวัฒนธรรม ร้านค้าและสถานบันเทิงจะเปิดไม่เกิน 4 ทุ่มเว้นในตัวเมืองฮานอยที่มีการผ่อนปรนให้เปิดได้ดึกกว่านั้น
ทุกอย่างดูแปลกตาสำหรับคนเดินทางครั้งแรก คนส่วนใหญ่นิยมนั่งรับประทานพูดคุยบนเก้าอี้เล็กๆ ริมถนนเรียบง่ายได้บรรยากาศ อาคารบ้านเรือนนิยมสร้างแบบทาวน์เฮาส์ บางหลังก็หน้าแคบเพียงแค่กางแขนก็แตะได้ 2 ด้านอันที่จริงจะเรียกว่าทาวน์เฮาส์ก็ไม่เชิงนักเพราะระหว่างบ้าน 2หลังไม่ได้ใช้ผนังเดียวกันยังมีช่องว่างเล็กๆในขณะที่บ้านเดี่ยวที่มีรั้วรอบขอบชิดมีพื้นที่กว้างขวางก็ยังนิยมสร้างบ้านคล้ายๆ กับทาวน์เฮาส์เช่นกัน
ส่วนการจราจรของเมืองก็สมคำร่ำลือไม่มีนาทีไหนที่ว่างเว้นจากเสียงแตรรถ นี่คือสไตล์การขับรถของคนเวียดนามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ พวกเขาไม่ได้บีบแตรด้วยอารมณ์โกรธเคือง แต่บีบแตรเพื่อต้องการบอกให้รถคันอื่นๆ รู้ว่ามีรถเขาอยู่ใกล้ๆ ให้ระวังด้วย แรกๆ เราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่พออยู่ได้สักพักก็เริ่มเห็นด้วยและเริ่มชิน ราวกับว่าชาวเวียดนามขับรถด้วยระบบโซนาร์ ใช้เสียงแตรรถบอกตำแหน่งและรถทุกคันก็เคลื่อนที่ผ่านสี่แยกอันแสนวุ่นวายโดยไม่มีรถคันไหนต้องหยุดรอให้อีกคันผ่านไปนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ สำหรับคนที่เพิ่งมาเที่ยวเวียดนามเป็นครั้งแรกอย่างมาก
เช้าวันต่อมาเรามีแผนเดินทางไปที่เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island) ตัวเมืองไฮฟองส่วนมากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบตัวเมือง แต่เสน่ห์การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติประวัติศาสตร์และวัตนธรรมส่วนมากจะอยู่ที่เกาะกั๊ตบา ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เนื่องจากได้รับรายงานว่าจะมีพายุกำลังเข้าใกล้เกาะกั๊ตบา เวลาที่เราจะได้อยู่เที่ยวกั๊ตบานี้จึงต้องลดลงเกาะแห่งนี้ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดจากจำนวน 367 เกาะ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวฮาลองเบย์ ภายใต้การดูแลของเมืองไฮฟอง
กั๊ต หมายถึงหาดทราย และ บา หมายถึงสตรี แปลความว่า เกาะนารี มีตำนานเล่าขานกันมานานหลายศตวรรษว่ามีสตรี3 คนในราชวงศ์ตราน ถูกสังหารและร่างได้ลอยมาติดที่เกาะแห่งนี้ แต่ละร่างถูกพัดมาเกยชายหาดคนละแห่งและทั้งหมดถูกพบโดยชาวประมง จนกระทั่งเกาะนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อเกาะกั๊ตบา พบหลักฐานทางโบราณคดียังชี้ว่า มีผู้คนอาศัยอยู่บนเกาะกั๊ตบามานานเกือบ 6,000 ปี โดยช่วงแรกมาตั้งรกรากในบริเวณปลายเกาะทศิ ตะวนัออกเฉียงใต้ ใกล้กับบริเวณท่าเรือบั๋นแบ่วในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1938 นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสค้นพบซากมนุษย์ที่น่าจะเป็นชาวไคแบ่วในวัฒนธรรมฮาลอง ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในราว 4,000 และ 6,500 ปีก่อน ซึ่งน่าจะเป็นประชากรกลุ่มแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามและชาวไคแบ่วอาจเป็นประชากรที่เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ในช่วงปลายยุคหินใหม่ ราว 4,000 ปีก่อน
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเกาะกั๊ตบาคือ ป้อมแคนนอน (Cannon Fort) ป้อมนี้ถูกสร้างเมื่อครั้งเวียดนามถูกฝรั่งเศสเข้ายึดครอง และใช้เป็นที่ตั้งป้อมปืนใหญ่พิสัยไกล เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการต่อสู้ป้องกันอ่าว อยู่บนยอดเขาซึ่งสูงที่สุดในเกาะกั๊ตบา และอาจจะสูงที่สุดในหมู่เกาะทั้งหมดโดยรอบ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้เห็นแนวบังเกอร์เก่าแก่และฐานจอดเฮลิคอปเตอร์ แวดล้อมด้วยทิวทัศน์ของเกาะกั๊ตบาที่สวยงาม ซึ่งเราจะได้เห็น วานเซียหมู่บ้านลอยน้ำกัววาน (Van Gia-Cua Vanfloating village) ได้จากจุดชมวิวป้อมแคนนอนฟอร์ต เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่ตั้งอยู่อย่างสงบในอ่าวแวดล้อมด้วยขุนเขากลางทะเล แต่น่าเสียดายที่ว่าเราคงไม่มีเวลาได้เยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้เพราะต้องรีบเดินทางกลับไปไฮฟองให้ทันเรือเที่ยวบ่าย 2 โมง
การเที่ยวป้อมแคนนอนฟอร์ตเราจะต้องเดินไปตามทางเดินเล็กๆของบังเกอร์ ซึ่งเราจะได้เห็นหลุมปืนใหญ่ ขนาด 138 มม. ระยะยิงพิสัยไกล 40 กม. แทบจะเรียกได้ว่าครอบคลุมพื้นที่โดยรอบทั้งหมดได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งฝรั่งเศสได้ถอนทัพออกไป ป้อมปืนนี้ก็ถูกทิ้งโดยถอดชิ้นส่วนออกจากกัน แต่ทหารเวียดนามก็ใช้ความสามารถในการซ่อมประกอบกลับและใช้ในการต่อสู้กับฝรั่งเศสในการรบอีกครั้ง
จากนั้นเดินไปตามทางเล็กๆ เราก็จะได้เห็นป้อมปืนย่อยอีกหลายจุดและวิวอ่าวฮาลองเบย์ที่เต็มไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่มากมาย เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มสำหรับป้อมปืนก่อนจะลงมาเที่ยวชมชายหาดบนเกาะกั๊ตบาซึ่งชายหาดของเกาะกั๊ตโก จะค่อนข้างเงียบสงบ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นชาวยุโรปมาเป็นคู่รักฮันนีมูนเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามที่นิยมมาตั้งแคมป์เที่ยวในเขตอุทยานเพราะเกาะกั๊ตบาก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมีสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ที่ต้องอนุรักษ์
ฝนเริ่มตกปรอยๆ เป็นสัญญาณว่าพายุเริ่มเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆเราเดินทางกลับด้วยท่าเรือด่วนที่ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง และเปลี่ยนโปรแกรมการเที่ยวที่เหลือไปยังเมืองฮาลอง ของที่ เพื่อเที่ยวชมไนต์มาร์เก็ตของที่นี่ ไนต์มาร์เก็ตเป็นตลาดกลางคืนแห่งเดียวของฮาลอง ตั้งในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนักเดินไม่เกิน 10 นาทีก็ดูของได้ทั่ว แต่ใช้เวลาต่อราคาค่อนข้างนาน มีสินค้าครบทุกชนิดที่ต้องการ แนะนำว่าใช้เงินไทยซื้อของที่นี่ได้เลย และควรต่อราคาให้ลดจากราคาที่แม่ค้าเสนอลงไปให้มากกว่าครึ่งหนึ่งก็จะได้ราคาสินค้าที่แท้จริง ถ้าไม่ได้ราคาที่ต้องการก็เดินออกมาเลยเดี๋ยวแม่ค้าจะให้ราคาที่ถูกจนคุณพอใจเอง ซึ่งน่าเสียดายอย่างหนึ่งว่าฝนตกเกือบตลอดทั้งวันทำให้เราพลาดเท่ยี วชมสะพานสายร้งุ คงมองเห็นได้แต่ไกลๆ ซึ่งก็ยังดูสวยงามน่าประทับใจอยู่ดี
จบทริปไฮฟองถึงฮาลอง ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าจะเที่ยวที่นี่ต้องมาช่วงฤดูร้อนและหนาวเท่านั้น เราถึงจะเก็บความประทับใจได้อย่างเต็มที่เพราะการมาไฮฟองและฮาลองจะไม่สนุกเลยถ้าไม่ได้เที่ยวทางเรือ เที่ยวชมหมู่บ้าน
เกาะแก่ง และถ้ำต่าง ๆ ซึ่งเป็นไฮไลตฺ์ที่เราแนะนำว่าทุกคนไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวสถานที่อันน่าประทับใจแห่งนี้


