โคบาลร่วมสมัย ต่อสู้เพื่อคนอื่น
การตัดสินใจดูหนังแนวเวสเทิร์น คาวบอย หรือแนวโคบาลตะวันตก ถือว่าไม่เป็นเรื่องลำบากยากเย็นในการเดินเข้าโรงหนังมากมายนัก
โดย...เพรงเทพ
การตัดสินใจดูหนังแนวเวสเทิร์น คาวบอย หรือแนวโคบาลตะวันตก ถือว่าไม่เป็นเรื่องลำบากยากเย็นในการเดินเข้าโรงหนังมากมายนัก เพราะยุคนี้หนังสกุลนี้หาดูได้ยากมาก ปีหนึ่งอาจจะไม่มีเข้ามาฉายในโรงสักเรื่องก็มี
พอแก้ขัดได้ก็พยายามหาหนังคาวบอยวินเทจที่รุ่งเรืองระหว่างยุคทศวรรษที่ 60-70 ของฮอลลีวู้ดมาดูกัน อาจจะมียุคทศวรรษที่ 90 บ้างประปราย ที่น่าจดจำก็คือ “Unforgiven” ของ คลินต์ อีสต์วูด ที่กวาดทั้งเงินและรางวัลไปเพียบ
The Magnificent Seven (เจ็ดสิงห์แดนเสือ) เป็นหนังโคบาลตะวันตกที่นำมาทำใหม่จากความทรงจำของหนังอมตะในปี 1960 หรือเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ซึ่งก็เลยครึ่งศตวรรษมาแล้ว เพราะฉะนั้นโดยหน้าหนังและตัวหนังจึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะการนำเอา เดนเซล วอชิงตัน มาเป็นตัวเดินเรื่องในแบบคาวบอยผิวสี จึงหวังว่าจะมีการตีความใหม่ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น
หัวใจสำคัญของตอนจบเรื่องที่ต้องการบอกว่า การต่อสู้เพื่อบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญและจรรโลงคุณค่าต่อโลกใบนี้ที่ไม่ได้วัดคุณค่ากันที่ตัวเงิน เมื่อเสร็จภารกิจก็พร้อมที่จะจากไปทันที เดินทางต่ออย่างคนนิรนาม เหลือเพียงตำนานที่ให้บอกเล่ากล่าวขานกันไม่รู้จบ
โคบาลทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นการรวมตัวของคนกึ่งดิบกึ่งดีทั้งหมด ประกอบด้วยนักล่าเงินรางวัล นักพนัน นักสะกดรอย ทหารเก่า มือปืนรับจ้าง อินเดียนแดง ซึ่งมาเข้ากลุ่มกันด้วยเงินจากสาวม่ายที่มาจ้างวานให้พวกเขาเดินทางไปกอบกู้เมืองซึ่งถูกเจ้าพ่อหรืออันธพาลระดับรัฐเข้ายึดครอบครองเพื่อทำเหมืองทองคำ
โรส ครีก เมืองในหุบเขาห่างไกลกลายเป็นสมรภูมิที่ฆ่ากันระหว่างโคบาลรับจ้างที่ร่วมมือกับชาวเมืองจนตรอกกับกองทหารรับจ้างของเจ้าพ่อ ซึ่งคำพูดของตัวละครที่เมามายก่อนที่จะประจัญบานในค่ำคืนของงานเลี้ยงสุกดิบเพื่อเดินสู่ความตาย ช่างมีความหมายนัก
“ชื่อเสียงคือหีบศพแสนสวย”
ในโลกที่ “เงิน” มีความหมายสูงสุด ทุกอย่างถูกซื้อได้ด้วยเงิน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงสุดของเมืองอย่างนายอำเภอ เจ้าพ่อกลายเป็นผู้กำหนดชี้เป็นชี้ตายด้วยปลายกระบอกปืนคมมีด ทุกคนยอมสวามิภักดิ์ด้วยอำนาจเงินตราและการบีบบังคับ “อยู่หรือตาย” ไม่มีคำว่าแข็งขืนมีแต่ต้องจำยอม
ในความตกต่ำสู่ความเลวร้ายชั่วช้า คนธรรมดาหากินสุจริตปากกัดตีนถีบเพื่อตั้งรกรากทำกินสร้างอนาคตบนผืนแผ่นดินให้ครอบครัว ถูกบีบให้ทิ้งที่ดินของตัวเอง ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้ แต่พวกเขายังเชื่อมั่นว่าต้องสู้ได้ ดังคำที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องเอ่ยออกมา
“ความดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้”
คนชั่วมักคิดว่า ทุกอย่างซื้อได้หรือครอบครองได้ด้วยเงิน ไม่เว้นแม้แต่คน คนทุกคนมีราคา แต่คนบางคนราคาเท่าไหร่ก็ซื้อเขาไม่ได้ การรวมตัวของคนจากต่างที่มา ต้องมีแม่เหล็กดึงดูดที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ดังผู้เฒ่าที่เป็นนักสะกดรอย หนึ่งในโคบาลในทีมที่เอื้อนจำนรรจาก่อนที่จะออกสู่สนามฆ่าฟันว่า “ได้ช่วยเหลือผู้คนกับมือดีที่คู่ควรกับความเคารพ แค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”
หนังเรื่องนี้มีคำคมซ่อนอยู่และถูกปล่อยออกมาผ่านปากตัวละครได้อย่างมีน้ำหนัก แม้ลักษณะความดราม่าจะมีไม่ลึกซึ้งและเปี่ยมอารมณ์ก็ตาม ก็อย่างที่ว่าหนังที่ทำซ้ำรอยหนังอมตะย่อมที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่ขึ้นหิ้งอย่างช่วยไม่ได้ หรือแม้แต่ต้นเรื่องคือ “7 ซามูไร” ของยอดผู้กำกับการแสดงชาวญี่ปุ่น อากิระ คุโระซะวะ ที่ทำออกมาในปี 1954 ก็เลิศลอยสูงส่งเกิน...ยากที่จะทาทาบ
“The Magnificent Seven” (เจ็ดสิงห์แดนเสือ) มีช่องโหว่มากมายในการเล่าเรื่อง แต่ได้พัฒนาตัวละครที่หลากหลายและถูกดัดแปลงให้มีสีสันมากขึ้น โดยภาพรวมหัวใจและกุญแจสำคัญของหนังดั้งเดิมยังรักษาไว้ได้ ดาราเล่นได้ดีตามมาตรฐาน ถือเป็นหนังที่ดูสนุกและเดินออกจากโรงอย่างโปร่งใจไม่มีอะไรติดค้าง


