ศุลกากร ดีเดย์ 1 ม.ค. 69 เก็บภาษีนำเข้าออนไลน์ตั้งแต่ 1 บาทแรก อัตราสูงสุด 30%
ศุลกากรดีเดย์ 1 ม.ค. 69 เก็บภาษีนำเข้าตั้งแต่บาทแรก อัตราอากรสูงสุด 30% ตามพิกัดสินค้า คาดเพิ่มรายได้รัฐราว 3,000 ล้านบาท ลดได้เปรียบสินค้าต่างชาติ สร้างความเป็นธรรม SME ไทย และคุ้มครองผู้บริโภค
KEY
POINTS
- ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 กรมศุลกากรจะยกเลิกการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท และจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ตั้งแต่บาทแรก
- อัตราภาษีจะคิดตามพิกัดของประเภทสินค้า โดยมีอัตราสูงสุดอาจถึง 30% เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและคุ้มครองผู้ประกอบการไทย
- กรมศุลกากรได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์รายใหญ่ (Lazada, Shopee, SHEIN, TikTok) เพื่อบวกภาษีในราคาสินค้าและช่วยคัดกรองสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรมีความพร้อมบังคับใช้มาตรการจัดเก็บอากรขาเข้าสำหรับสินค้านำเข้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่มูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยยกเลิกการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและคุ้มครองผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME
โดยสินค้าที่นำเข้าจะถูกจัดเก็บภาษีตามพิกัดของประเภทสินค้านั้นๆ ซึ่งอัตราภาษีสูงสุดอาจถึง 30% ของอัตราอากรขาเข้า เช่น กลุ่มสินค้าแฟชั่น ส่วนกลุ่มกระเป๋าจะอยู่ที่ประมาณ 20% โดยภาษีเหล่านี้จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินจบได้ทันทีบนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ยกเว้นกรณีการส่งผ่านไปรษณีย์ไทยที่อาจมีการเรียกเก็บ ณ ขณะนำส่ง
ทั้งนี้เชื่อว่า มาตรการทางภาษีนี้จะช่วยสกัดสินค้าไร้มาตรฐาน ที่ไม่ผ่าน มอก./อย. โดยวันนี้ 22 ธ.ค.2568 รัฐบาลโดยกรมศุลกากรได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ได้แก้ Lazada ,Shopee, SHEIN ,TikTok ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อคัดกรองสินค้า โดยกรมศุลกากรจะส่งรายชื่อสินค้าควบคุมที่ต้องมีใบรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้กับแพลตฟอร์ม เพื่อให้ทางแพลตฟอร์มใช้ตรวจสอบและถอดสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานออกจากระบบ หรือไม่อนุญาตให้ขายมายังประเทศไทย
ทั้งนี้ แม้สินค้าอาจมีราคาสูงขึ้นตามภาระภาษี แต่จะช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้มากขึ้นว่าสินค้าที่สั่งซื้อจะมีคุณภาพและถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากในอดีตไม่มีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นเท่านี้ โดยสินค้าที่สุ่มเสี่ยงหรือผิดกฎหมายชัดเจน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า จะไม่สามารถวางขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้
การจัดเก็บภาษีนำเข้าตั้งแต่บาทแรกอาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าปรับสูงขึ้นในช่วงแรก แต่ช่วยสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ลดความได้เปรียบด้านราคาของสินค้าต่างประเทศ และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย ขณะที่แพลตฟอร์มยังคงเดินหน้าการตลาดและโปรโมชั่นเพื่อพยุงกำลังซื้อผู้บริโภค โดยระยะยาวจะช่วยยกระดับมาตรฐานตลาดอีคอมเมิร์ซ สร้างระบบนิเวศที่โปร่งใส ปลอดภัย และเอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
“การจัดเก็บภาษีในครั้งนี้ครอบคลุมสินค้าเกือบทุกรายการที่เคยได้รับยกเว้น โดยจากข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท สูงถึงประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือราว 150 -160 ล้านชิ้น ซึ่งการจัดเก็บภาษีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้น ราว 3,000 ล้านบาท แต่หัวใจสำคัญคือการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศไม่ให้เสียเปรียบด้านราคากับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่เดิมไม่ต้องเสียภาษีอากร” นายพันธ์ ทองกล่าว
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับแพลตฟอร์มยังช่วยให้กรมศุลกากรสามารถตรวจสอบ ข้อมูลการนำเข้าได้แม่นยำขึ้น โดยสามารถตรวจสอบจำนวนชิ้นและมูลค่าที่แท้จริงจากระบบของแพลตฟอร์มได้โดยตรง ช่วยลดปัญหาการสำแดงเท็จหรือการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้าน ดร.ธมกร ศุภธนรังสี รองประธานฝ่ายรัฐสัมพันธ์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือภาครัฐ และเอกชน เป็นหัวใจสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและกำหนดมาตรฐานร่วมกัน เพราะแพลตฟอร์มไม่ได้รู้ทุกเรื่อง จึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกับรัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตอย่างถูกต้อง เป็นธรรม และคุ้มครองผู้บริโภค โดยยอมรับว่าช่วงเริ่มต้นอาจมีผลกระทบจากการปรับตัวของผู้ขาย แต่ระยะยาวจะเป็นผลบวก เพราะทุกฝ่ายอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน สร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัยและดึงผู้ใช้งานมากขึ้น ขณะที่การทำตลาดยังคงเดินหน้าเพื่อช่วยลดค่าครองชีพ และผู้ขายต่างประเทศต้องการเพียงความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งลาซาด้าได้สื่อสารต่อเนื่องและเตรียมความพร้อมแล้วก่อนเริ่มบังคับใช้ 1 มกราคมนี้


