บทเรียนสอนใจ ใช้ชีวิตอย่าตึงหรือหย่อนเกินไป
สาวออร์แกไนเซอร์ ตา-กรณ์กันต์ ลิ้ว-สงวนกุลธร เจ้าของบริษัทออร์แกไนเซอร์และประชาสัมพันธ์
โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ กรณ์กันต์ ลิ้วสงวนกุลธร
สาวออร์แกไนเซอร์ ตา-กรณ์กันต์ ลิ้ว-สงวนกุลธร เจ้าของบริษัทออร์แกไนเซอร์และประชาสัมพันธ์ ที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 20 ปี เธอเป็นสาวทำงานอย่างทุ่มเทตั้งบริษัทของตัวเองได้เมื่ออายุ 20 ต้นๆ เรียกว่าทำงานแบบลุยสุดๆ เช้ายันดึกแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำงานนับตั้งแต่เรียนจบ และหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อมีบริษัทเป็นของตัวเองแน่นอนเมื่องานเยอะ การดูแลตัวเองอาจจะไม่ได้มีเวลาให้มากนัก อาจจะกินนอนไม่เป็นเวลา ไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์เท่าที่ควรไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตแบบรีบเร่งเคร่งเครียดแข่งกับเวลา แต่แม้กระนั้นเธอก็ไม่ได้ละเลยตัวเองจนเกินไป เธอยังไปตรวจสุขภาพอยู่ทุกปี โดยตรวจโปรแกรมสุขภาพชุดใหญ่ทุกปีตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆ เธอจะเฝ้าระวังตัวเองมาตลอดเวลา แล้วก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ
อย่างการตรวจสุขภาพของเต้านมนั้นเธอก็พยายามตรวจคลำ ด้วยตัวเองอยู่เสมอ เพราะรู้ข้อมูลมาว่าผู้หญิงที่มีเนื้อหน้าอกเยอะๆ มีโอกาสที่จะเกิดซีสต์ หรือก้อนเนื้อร้ายมากกว่าคนเนื้อหน้าอกน้อยๆ
“ตอนอายุ 30 นิดๆ ก็เคยตรวจเจอซีสต์ก้อนเล็กๆ ที่หน้าอกขนาด 2 ซม. เราจึงใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งตรวจด้วยตัวเองอยู่เสมอไม่เคยละเลยก็ไม่เจออะไรผิดปกติ จนกระทั่งอายุ 41 เธอก็เริ่มคลำเจอก้อนเนื้อเล็กๆ คลำ แรกๆ ไม่เจอ มันไม่ใหญ่เท่าไหร่นะแค่ 2 ซม. นี่จะเจอยากมาก จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเอ๊ะ มันมีก้อนๆ อยู่นะ ก็ไปตรวจอีกครั้งก็พบว่ามันโตขึ้นประมาณเท่ากับลูกส้มจี๊ดราวๆ นั้นได้คลำเจอเหมือนว่ามันบวมๆ”เธอเล่าย้อนอดีตให้ฟัง
กรณ์กันต์ เล่าต่อไปว่าเธอไปตรวจเจอครั้งแรกตอนเดือน ธ.ค. ตอนนั้นยังไม่เป็นไรมากมีอาการแค่เจ็บๆ นูนๆ ขึ้นมา รอบก้อนเนื้อคลำไปโดนจะรู้สึกเจ็บ ตอนนั้นคลำเจอที่ข้างขวาก็เลยไปตรวจอย่างละเอียดก็แจ็กพอตเลยผลการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 2 เรียกว่า CA breast cancer ข้างขวาmucinous carcinoma ซึ่งการเป็นก้อนที่เกิดขึ้นในถุงน้ำนมของผู้หญิงเป็นชนิดที่เติบโตช้าแต่ในถุงน้ำนมนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ บางคนอาจจะเป็นอยู่นาน 20-30 ปี โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัวเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่ดุ
โดยข้างขวานี้ไม่ต้องทำการคีโม แค่ฉายแสงเพียงอย่างเดียวและไม่ต้องตัดข้างขวาทิ้งแค่คว้านข้างในออกแล้วเก็บตัวเต้าไว้ หมอที่รักษาก็บอกว่าคนที่มีเต้าหรือไม่มีเต้าก็มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้เท่าๆ กัน เธอจึงเริ่มผ่าออกช่วงเม.ย. 2554 นอนโรงพยาบาลอยู่ 3-4 วัน ซึ่งโชคดีว่ามันไม่ลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จึงไม่ต้องผ่าตัดเนื้ออกเยอะ ตัดออกเฉพาะก้อนเนื้อร้ายเท่านั้นแล้วมันเป็นเซลล์ที่ไม่ดุร้ายเท่าไหร่นัก
เธอเล่าว่า ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งที่ข้างขวาตอนนั้นก็จิตตกไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอะไร ก็เศร้านะ แต่ก็พยายามมีกำลังใจให้ตัวเองคิดแต่ว่าจะรักษายังไง เศร้าแต่ก็จะลุยต่อไปข้างหน้าคิดแต่ว่าต้องหาย และยังตายตอนนี้ไม่ได้ มีญาติพี่น้องต้องดูแล มีบริษัทมีทีมงานที่เพิ่งเริ่มต้นไว้ พนักงานบางคนเพิ่งเริ่มผ่อนบ้านผ่อนคอนโด ตัวเธอเองก็เพิ่งซื้อบ้านยังล้มตอนนี้ไม่ได้
เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะเธอคิดว่าหากคว้านเนื้อร้ายที่เต้านมข้างขวาไปแล้ว หน้าอก 2ข้างจะไม่เท่ากันเพราะเธอเป็นคนมีเนื้อหน้าอกเยอะ อาจจะมีปัญหาในการใส่เสื้อชั้นใน ก็เลยบอกให้หมอช่วยผ่าเอาเนื้อที่ข้างซ้ายออกไปนิดหน่อยเพื่อให้หน้าอกทั้งสองข้างเท่ากัน
คุณหมอก็ทำการผ่าให้ผ่าเสร็จพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 3-4 คืน ก็เตรียมจะออกจากโรงพยาบาล หมอก็ได้ผลการตรวจเนื้อของข้างซ้ายซึ่งดูเหมือนจะผิดปกติ ขอผ่าซ้ำอีกรอบเพื่อเอาก้อนเนื้อไปตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งและดูว่ามันลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองหรือเปล่า ที่สุดหมอก็ขอรอดูอาการก่อนยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล
“ทีนี้เราเริ่มจิตตก คือใจเสียคราวนี้ร้องไห้มาก ช็อกแบบอะไรเนี่ยเพราะข้างซ้ายนี่ไปเจอโดยบังเอิญไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะเป็นใจเสีย ท้อเลย ขวัญกำลังทดท้อไปมาก” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ผลปรากฏออกมาว่าที่เต้านมข้างซ้าย ก็เป็นเซลล์มะเร็งอีกประเภทชนิดเนื้อร้ายที่ดุและเป็นคนละชนิดกับที่เต้านมข้างขวา ข้างซ้ายเรียกว่า Invasive ductal carcinoma ซึ่งเป็นระยะแรก แต่เป็นเซลล์ที่อาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้และที่อื่นๆ ได้ เพราะเป็นเซลล์ดุลุกลามได้เร็วอาจจะลามไปได้ทั้งตัว แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่ยังไม่ลามไปทั้งตัว
คุณหมอบอกว่า การเป็นมะเร็งทั้งสองข้างและเป็นมะเร็งคนละชนิดกัน เป็นการเกิดขึ้นที่น้อยมาก ในรอบ 70 ปีนี่เพิ่งเจอสักครั้ง หายากที่จะเจอในคนไทย จะเจอในคนต่างประเทศมากกว่า
ดังนั้นก็เลยต้องให้คีโมถึง 6 ครั้ง ฉายแสง 25 ครั้ง 2 ข้างก็รวม 50 ครั้ง ต้องฉายข้างละทีเพราะเป็นมะเร็งคนละชนิดกันจะฉายแสงพร้อมกันแบบเดียวกันไม่ได้
หลังจากนั้นเธอก็เข้าขั้นตอนการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยรักษาตามแผนการของคุณหมออยู่ 1 ปีเต็ม ก็มีช่วงที่แพ้ ที่ย่ำแย่ ยาเคมีบำบัดก็ทำให้ผมร่วงคิ้วร่วง เริ่มจากหมอให้ยากินก่อนแล้วจึงให้คีโม พอแผลผ่าตัดเริ่มแห้งก็เริ่มให้คีโมเข็มแรก ปรากฏว่าแพ้ไข้ขึ้น มีแผลพุพองในปากกินอะไรไม่ได้แม้กระทั่งน้ำหวานก็ยังอยากจะอาเจียน ผมร่วงคิ้วบางไปเลยแพ้หนักมาก มีไข้รุมๆ ตลอดเวลา ต้องคอยวัดอุณหภูมิไม่ให้ไข้ขึ้นสูงเพราะจะเป็นอันตรายเพราะเม็ดเลือดขาวจะตกมาก
“ตอนนั้นบริษัทก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่กี่ปีกำลังตั้งไข่ งานก็กำลังเยอะเลย เราจะทิ้งงานก็ไม่ได้พอเดือนที่ 5-6 ของการรักษาหมดการให้คีโมไปแล้วอาการก็ค่อยดีขึ้นการแพ้ลดลงไปบ้างผมเริ่มขึ้น ตอนให้คีโมก็เพลียมาก มีบางช่วงที่งานพีกๆ ให้คีโมเสร็จบ่ายก็ไปประชุมต่อ ใส่วิกไปประชุม คือระหว่างที่ป่วยก็ไม่ได้พักงานเลยนะทำงานตลอด เพียงแต่ลดๆ ความถี่ในการไปประชุมลงบ้าง ให้ทีมงานแทนได้ก็ให้เขาไป อันไหนให้คนแทนไม่ได้จริงๆ ก็ต้องไปเองบอกตัวเองว่าต้องสู้ยังตายตอนนี้ไม่ได้” เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น
กรณ์กันต์ เล่าถึงความยากลำบากในการที่จะต่อสู้กับโรคร้ายต่อไปว่า บางวันแพ้มากเวียนหัว กินอะไรไม่ได้เลย กินได้แต่น้ำก็ไม่มีแรงได้แต่อมบ๊วยไว้ไม่ให้ขมปาก ตอนให้คีโมจะทรุดโทรมมากเหนื่อยเพลีย น้ำหนักลดลงไป 10 กก. แบบรวดเร็วมาก บางครั้งก็ท้อแต่ก็จะไม่ยอมแพ้ ร้องไห้ก็มีบ่อย ร้องเพราะเหนื่อยเพราะเพลีย แต่ใจนั้นสู้มาก
“จริงๆ จะพักงานบ้างก็ได้นะหยุดไปสักเดือนสองเดือน แต่เราไม่อยากหยุดงานด้วยล่ะ เพราะกลัวจะคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป เราจึงเลือกที่จะทำงานควบคู่ไปด้วย หวังว่าจะใช้งานเป็นตัวช่วยบำบัดเยียวยาฆ่าเวลาให้เวลาผ่านไปเร็วๆ ถ้าอยู่บ้านเฉยๆ มันจะว่างแต่ละวันที่ผ่านไปมันจะช้าเกินไป เราคิดว่าเรายังมีประโยชน์เราต้องทำงาน เพียงแต่ไม่หักโหมไม่ดึกดื่นมากนัก เลือกไปทำงานที่สำคัญๆ วันละ 5-6 ชั่วโมงก็พอ วันไหนต้องไปคีโมถ้างานไม่ด่วนก็กลับบ้านเลย ถ้าด่วนสำคัญก็แวะไปประชุมสัก 2-3 ชั่วโมงแล้วกลับบ้านมาพัก”เธอบอกด้วยสายตาตั้งใจอย่างยิ่ง
สิ่งที่สำคัญคือเธอบอกว่าต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ บอกตัวเองว่าเราจะผ่านมันไปได้เราจะโชคดี เราจะหาย พยายามมองหาข้อดีของสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่ก็คือ ได้รักษากับหมอที่เชี่ยวชาญในสาขานี้ ได้อยู่กับโรงพยาบาลใหญ่ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ มีองค์ประกอบที่ดีหลายอย่าง คือใครจะให้กำลังใจมากแค่ไหนก็ไม่เท่ากับการที่เราให้กำลังใจตัวเอง สั่งจิตสะกดใจไว้เลยต้องหายต้องดีขึ้น นึกภาพตัวเองตอนหายว่าได้ไปเดินเล่นริมทะเล ได้ไปขี่จักรยานในสวนท่ามกลางธรรมชาติ พยายามไม่เครียดไม่เก็บกด ถ้ารู้สึกแย่ก็จะร้องไห้เพื่อได้ระบายได้ปลดปล่อยออกมา ทำตามความรู้สึกไม่ฝืนไม่กดอารมณ์ไว้ พยายามไม่เครียดเลย เพราะเวลาที่เครียดเม็ดเลือดขาวจะตกก็ต้องมาฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวกันตลอดฮอร์โมนก็จะดร็อป ส่งผลให้ตัวดำตาโหล ผอมแห้ง สภาพร่างกายก็จะยับเยิน ดังนั้นก็ต้องพยายามดูแลตัวเองให้มาก
ต้องบอกตัวเองว่าดูแลตัวเอง ดูแลความหวังของทีมงานที่ฝากอนาคตไว้กับบริษัทที่เราเพิ่งเริ่มตั้ง บางคนเพิ่งซื้อรถ บางคนเพิ่งซื้อบ้าน แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่บ้างก็คือปีที่เธอเริ่มป่วยนั้นบริษัทไปได้ดีมีงานเยอะมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ
การรักษาผ่านไปได้ปีกว่าทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น พอผ่านไปปีที่ 2-3 สัญญาณดีเริ่มมาคือการรักษาเป็นไปตามเป้าหมายที่คุณหมอตั้งไว้ แต่เธอก็ยังต้องดูแลตัวเองด้วยคือไม่เครียดไม่ทุ่มเทหนักจนร่างกายทรุดโทรม ต้องใส่ใจร่างกายให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น กินอาหารที่มีประโยชน์ กินให้เป็นเวลาแบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดจะอ้างขี้เกียจ อ้างไม่มีเวลาอีกไม่ได้แล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น อยู่กับตัวเอง
พอผ่านเหตุการณ์เจ็บป่วยที่ลืมไม่ลงแบบนี้ ก็คิดบวกว่าโชคดีที่รอดมาได้ ทำตัวให้ดีมีจิตใจที่คิดบวกมีเมตตาธรรมมากๆ กับตัวเองและกับผู้อื่น หากปล่อยปละละเลยกับชีวิตไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่สองอีกไหมจะรอดมาได้อีกหรือเปล่าจะไม่ประมาทกับชีวิต ใช้ธรรมะมาช่วยนำทางในการทำงานในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น ทำบุญทำทานมากขึ้นโชคดีที่เป็นชาวพุทธได้มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
เธอเล่าต่อไปว่าตอนนี้ผ่านมา 5 ปีโรคสงบแล้วแต่ก็ต้องดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องจริงๆ แล้วเรื่องการดูแลคุณภาพร่างกายจิตใจให้ดีนี่แม้ไม่ป่วยก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี คนเมืองยุคนี้ใช้ชีวิตรีบเร่งจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทุกคนมุ่งแต่หาเงินจนลืมเรื่องสุขภาพไป มุ่งเก็บเงินเพื่อเอามารักษาตัวตอนแก่ ตอนเจ็บป่วยสู้หาเงินน้อยหน่อยแต่มาใส่ใจสุขภาพ ลงทุนให้ร่างกายแข็งแรงไม่ต้องเอาเงินเก็บที่หามาได้ไปจ่ายค่ารักษาจนหมด
กรณีของเธอนั้นนับว่าโชคดีที่หมอวินิจฉัยโรคและรักษาได้ตรงจุดการรักษาเป็นไปตามแผนของคุณหมอ เธอเองก็มีความเชื่อมั่นในตัวคุณหมอ ทุกอย่างลงตัวอยู่ในความควบคุมได้ดี
บทเรียนชีวิตครั้งนี้สอนให้รู้ว่าต้องใช้ชีวิตแบบเดินสายกลางใช้ชีวิตอย่าให้ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ดูแลตัวเองทั้งร่างกาย จิตใจ ดูแลอารมณ์อย่าให้เครียด กินอาหารให้ดีมีประโยชน์สักหน่อย ออกกำลังกายบ้าง อยู่ในที่อากาศดีๆ บ้าง อย่างน้อยทำพื้นฐานการใช้ชีวิตให้ดีมีคุณภาพสักนิดโรคภัยไข้ป่วยรุนแรงคงไม่มาถามหาง่ายๆ แต่ถ้าทำต้นทุนชีวิตไว้ไม่ดี สิ่งที่ตามมามันก็เป็นผลพวงจากสิ่งที่เจ้าตัวทำลงไป เธอกล่าวเตือนสติทิ้งท้าย


