“ดั้งเดิม”
ชอบเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งเป็นเพลงในลำดับที่ 5 ในอัลบั้ม “ลูกทุ่งไฮไฟ 3D”
โดย...พรเทพ เฮง
ชอบเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งเป็นเพลงในลำดับที่ 5 ในอัลบั้ม “ลูกทุ่งไฮไฟ 3D” (Hi-Fi Thai Country vol.2 3D) เป็นการขับร้องของนักร้องชายและหญิงที่แบ่งเพลงกันร้อง เบิร์ด ธรรมรัตน์ และ กุ๊ก อรสุรางค์ โดยมี บรรณ สุวรรณโณชิน เป็นผู้ดูแลการผลิต แต่งเนื้อร้อง-ทำนอง-เรียบเรียงดนตรี ไปจนถึงมิกซ์และมาสเตอริ่ง
“ดั้งเดิม” เป็นชื่อเพลงที่เห็นแล้วก็นึกไปไกลว่า คงเป็นเพลงที่ระลึกถึงวันชื่นคืนสุขของกลิ่นอายวันวานแบบเพลินวานที่นิยมทำของใหม่เลียนแบบของเก่า และอัลบั้มนี้ก็เป็นแนวเพลงลูกทุ่งย้อนยุคร่วมสมัย ก็คงเป็นบรรยากาศท้องนาท้องไร่ชนบทอะไรประมาณนี้ แต่พอฟังแล้ว...ดันไม่ใช่ แต่ต้องอมยิ้ม เพราะเป็นลูกทุ่งแนวจิกกัดหยิกพอให้หายคัน
ทำให้เชื่อแล้วว่า บรรณ คนแต่งเพลงๆ นี้เป็นคนมีอารมณ์ขันที่มีความเสียดเย้ยอยู่ลึกสุดใจ แล้วก็เป็นลายเซ็นหรือเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา ไม่ว่าจะทำเพลงออกมาในแนวไหน ก็จะมีลีลาของการเขียนเนื้อร้องแบบนี้อยู่ในอัลบั้มอยู่เสมอ
“ดั้งเดิม” เป็นเพลงที่พูดถึง ดั้ง ในความหมายของดั้งจมูก ที่เอาไปผูกกับความเป็นไปของสังคมยุคปัจจุบัน เรื่องศัลยกรรมจมูกกลายเป็นความสามัญดาษดื่นของทั้งผู้หญิงผู้ชายไปแล้ว เมื่อมาถ่ายทอดผ่านเสียงร้องของผู้ชายเสียงหนาลูกคอดี มีความเชยของกลิ่นลูกทุ่งแบบเก่าก่อนทำให้ได้อารมณ์มากๆ ลงตัวแนวหยิกแกมหยอกที่เป็นเสน่ห์ของเพลงลูกทุ่ง ซึ่งหาได้ยากแล้วในยุคนี้
อย่างที่ว่า บทเพลงนี้ได้ช่วยเปิดประตูของความคิดให้ฟุ้งซ่านไปอีกไกล ดังเนื้อร้องที่ร้องว่า
“...ดั้งเดิมอยู่ดีๆ ทำจนป่นปี้ ไม่มีเค้าเดิม เย็บเหน็บตัดยัดเสริม ไอ้ที่มันย้อย ก็ยังดูดออกไป ทิ่มแทงแยงด้วยเข็ม เล็มกรีดเข้าเนื้อ…”
ทำไม? คนจึงผ่าตัดทำดั้งจมูกใหม่ให้โด่งแหลม เมื่อเปิดข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่า ทุกปีจะมีผู้ป่วยด้วยศัลยกรรมจมูกในคลินิกกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นผลข้างเคียงจากการศัลยกรรมจุดนี้ ยิ่งมาอ่านเจอข่าวว่า ดาว มยุรี ยอมรับว่า เธอไปศัลยกรรมมาแล้วหลายครั้ง บ่อยครั้งที่สุด คือ ทำจมูก 4 ครั้ง เสริมคาง 6 ครั้ง เสริมเท้าให้มีน้ำมีนวลไม่แห้ง 1 ครั้ง
สำหรับเมืองไทย เทคนิคการผ่าตัดศัลยกรรมจมูกซึ่งเป็นที่นิยมกันก็คือ การเสริมแบบมีแผลผ่าตัดจากด้านในจมูก (Closed Technique) โดยจะเสริมจมูกด้วยการใส่ซิลิโคนเข้าไปทางรูจมูก ตั้งแต่สันจมูกไปจนถึงบริเวณปลายจมูก
มายาคติ (Mythologies) ของความงามในยุคปัจจุบันที่ต้องมีผิวที่ขาวขึ้น 4 ระดับ ดั้งจมูกที่โด่งขึ้น อึ๋มขึ้นแต่ตัวเล็กลง หน้าเรียวเล็กลง กรามและโหนกหาย คอนแทคเลนส์สี และขนตาเป็นช่อๆ ก็มาจากการศัลยกรรมสไตล์เกาหลี มาตรฐานความงามของคนเกาหลีนั้นมีที่มาดั้งเดิมจากการอยากเลียนแบบดาราตะวันตก ตัวแทนความงามของสาวเกาหลี คือ การมีรูปร่างที่เพรียวผอม ขาเรียวยาว ดวงตาโต รูปจมูกที่คมและดูเพรียว มีปลายจมูกจิ้มลิ้ม คางและปากเล็ก โครงหน้าได้รูป ทั้งยังจำเป็นอย่างมากที่สาวเกาหลีสวยๆ ต้องมีผิวขาวเนียนผุดผ่องเหมือนกับฝรั่งให้มากที่สุด
จมูกแบบเกาหลี ต้องตั้งเด่นเป็นสง่า คมโด่งแต่มีสันที่ไม่สูงมากเหมือนฝรั่ง ปลายจมูกงอนนิดๆ ไม่ตึงปลาย ด้วยการใส่ก้านจมูกตั้งแต่ดั้งลงมาถึงปลายปาก
พอค้นข้อมูลเรื่องศัลยกรรมจมูกก็ยิ่งเจอข้อมูลที่น่าสนใจมากขึ้น ไปเจอบทความชื่อ “จมูกแห่งความเจ็บปวด” (The Suffering Nose) เขียนโดย โกสุม โอมพรนุวัฒน์ เผยแพร่มาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2546 ทำให้เข้าใจถึงรากฐานและที่มาในความชอบธรรมและมายาคติของคนเอเชียและคนไทยในการผ่าตัดทำศัลยกรรมจมูกให้โด่งได้มากขึ้น
ตอนแรกก็คิดเผินๆ ว่า ประเด็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่สำคัญในปัจจุบันนี้ คือ คนเอเชียจำนวนมากต้องการสร้างตัวตนของตนเองขึ้นมาใหม่ให้มีรูปลักษณ์ดูเป็นชาวตะวันตกมากขึ้น
เพราะคนเอเชียก็อยากจมูกโด่งแบบฝรั่งผ่านการเสพวัฒนธรรมบันเทิงของดาราและนักร้อง แต่ยุคหลังกลายเป็นจมูกโด่งแหลมแบบเกาหลี ทั้งที่เป็นคนเอเชียด้วยกันไปเสียนี่ แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของอุตสาหกรรมบันเทิงมีผลต่อชีวิตของคนจริงๆ
จากบทความนี้ทำให้พบว่า การให้ความหมายกับจมูกเล็กแบนโหว่ว่า อัปลักษณ์ ไร้ค่า และน่าสะพรึงกลัว เป็นการประเมินคุณค่าตามความเชื่อสมัยวิกตอเรียน (Victorian belief) การเชื่อมโยงนั้นเป็นผลึกของความรังเกียจและเกลียดชังที่ชาวตะวันตกมีต่อคนที่ไม่มีจมูกหรือจมูกยุบแบน ซึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 อันเป็นผลพวงมาจากโรคซิฟิลิส (Syphilis) เพราะอาการที่สำคัญอย่างหนึ่งของโรคซิฟิลิส คือ ดั้งจมูกจะยุบหายไป กระดูกบริเวณจมูกจะติดเชื้อและถูกทำลาย ส่งผลให้จมูกโหว่ไป
สัญญะที่สำคัญคือ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จมูกที่หายไปจึงประจานถึงศีลธรรมที่หายไปของผู้ป่วยเป็นโรคนี้
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จากการศึกษาทางมานุษยวิทยา กล่าวว่า จมูกแบบของคนดำและชาวยิวเป็นสัญลักษณ์ของความป่าเถื่อน (Primitive) เพราะจมูกที่แบนเกินไปถูกนำมาเชื่อมโยงเข้ากับลักษณะของจมูกของผู้ป่วยด้วยโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นเครื่องหมายของบาปและอันตราย
วาทกรรมเหล่านี้ถูกตอกย้ำผ่านผลงานของนักกายวิภาคชาวดัตช์ เปทรัส แชมเบอร์ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่นำเสนอทฤษฎีองศาของใบหน้า (Facial Angle) และดัชนีจมูก (Nasal Index) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อื่นๆ ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์วานร (Anthropoids) ถือเป็นการสร้างคำอธิบายของผู้มีความรู้เพื่อจัดลำดับ “ความเป็นมนุษย์” โดยใช้จมูกเป็นเกณฑ์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตะวันตกในการล่าอาณานิคม
ดั้งจมูกจึงเป็นปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อน ย่อมมีปัจจัยที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ซ่อนอยู่เบื้องหลัง การแสวงหาอัตลักษณ์ของคนเอเชียจึงมีการสั่งสมมาหลายร้อยปี หรือแม้แต่ในเมืองไทยเองก็ยังมีการแบ่งย่อยเรื่องดั้งจมูกระหว่างคนภาคอื่นกับคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวด้วยเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อแค่ฟังเพลงชื่อ “ดั้งเดิม” เพียงเพลงเดียว สามารถค้นรากเหง้าของการศัลยกรรมจมูกได้กว้างไกลในมิติทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ได้มากถึงเพียงนี้


