posttoday

รักแรก กับ แรกรัก

17 สิงหาคม 2558

ช่วงเดือน ส.ค.แบบนี้ ผมมักจะคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแม่เป็นพิเศษ

โดย...โสภณ ศุภมั่งมี ภาพ : ชินวัฒน์ สิงหะ

ช่วงเดือน ส.ค.แบบนี้ ผมมักจะคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแม่เป็นพิเศษ ผ่านมาหลายปีแต่อย่างกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นร้อนรุ่มอยากจะมีความรักอย่างที่ “คนอื่นๆ” เขามีกันบ้าง ช่วงวัยฮอร์โมนเพศชายพลุ่งพล่าน เลือดร้อน หัวดื้อ อีโก้สูง ไม่ยอมฟังเหตุผล เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกับที่บ้านเพราะเขาไม่ยอมรับในตัวผู้หญิงที่ผมคบหาดูใจอยู่ด้วย สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าอายุที่ยังน้อยเกินไป (ตอนนั้นผม 15 ปี) เตี่ยกับแม่ก็คอยห้ามปรามอย่าทำอะไรที่จะต้องมาเสียใจทีหลัง อย่านู้น อย่านี้ โดยเฉพาะแม่ที่เรียกผมเข้าไปคุยเกือบทุกวันจนหูด้านใจกระด้าง รู้สึกว่าจู้จี้จุกจิกกวนใจเหลือเกิน จากที่เคยเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายก็เปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนพวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวผมเลย ความรักมันไม่ดีตรงไหน ทำไมต้องห้ามไปซะทุกอย่าง ผมจะมีชีวิตแบบวัยรุ่นเหมือนในหนังก็ต้องมาโดนด่า ทะเลาะกันบ้านแตกทุกครั้ง

ผมก็ยังคงยืนกรานที่จะคบกับผู้หญิงคนนี้ เตี่ยก็เป็นห่วง แม่ก็ยิ่งเป็นห่วงหนักเข้าไปอีก คิดว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายสุดที่รักเสียผู้เสียคน เถียงคำไม่ตกฟาก จนมาวันหนึ่งมีปากเสียงทะเลาะกันจนเหตุการณ์บานปลาย ผมหันหลังวิ่งไปหยิบกุญแจแล้วคว้ามอเตอร์ไซค์ขับหนีออกจากบ้านกลางดึก เป้าหมายไม่ได้เป็นบ้านของผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นถนนเส้นรอบเมืองที่ร้างเปลี่ยวยามค่ำคืน ผมบิดคันเร่งจนสุดความเร็วที่มอเตอร์ไซค์จะไปได้ (ประมาณ 120 km/hr) ไร้หมวกกันน็อก ถ้ามีอะไรวิ่งตัดหน้าตอนนั้นชีวิตผมก็คงจบ

ผมตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนเมาไร้สติ น้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกมาจากตาร้อนผ่าวโดนแรงลมพัดปลิวไปข้างหลัง มันอึดอัดจนร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว สักพักใหญ่ๆ ใจที่เต้นรัวเร็วแรงด้วยความเดือดค่อยๆ ชะลอตัวและสงบลง ผมผ่อนความเร็วแล้วค่อยๆ จอดรถไว้ข้างทาง น้ำตายังคงไหลไม่ยอมหยุด ผมเอาสองมือพาดวางบนหน้าปัดของรถมอเตอร์ไซค์แล้วฟุบหน้าลงร้องไห้อีกครั้ง แปลกดีที่ผมไม่รู้สาเหตุที่มาของหยดน้ำตาเหล่านั้น จะบอกว่าทะเลาะกับเตี่ยแม่รุนแรงมันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมาคิดดูเขาก็พูดแต่เรื่องเดิมๆ ที่เคยบอกมาแล้วหลายร้อยรอบ หรืออาจจะน้อยใจที่เตี่ยแม่ดุด่าตลอดเวลา กลับบ้านไปก็มีแต่ชวนทะเลาะเรื่องเก่าซ้ำไปซ้ำมา ในหัวผมคิดวุ่นวายไปหมด

“ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด” เสียงของเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมสีดำอันจิ๋วแผดเสียงฝ่าความเงียบขึ้นมา หน้ายังฟุบอยู่ ส่วนมือก็ควานเข้าไปหาต้นตอของเสียงในกระเป๋ากางเกง กดปุ่มที่คุ้นเคยเพื่อเหลือบมองข้อความที่คนฝากเอาไว้ให้ในเพจเจอร์ คิดในใจว่าคงจะเป็นหญิงที่รักส่งข้อความมาหาเพราะความคิดถึง แต่ผิดคาด จริงอยู่เป็นหญิงที่รัก แต่ไม่ใช่คนที่ผมคาดเอาไว้ ผมขยี้ตาอ่านข้อความให้แน่ชัดอีกครั้ง หัวใจกลับมาเร่งความเร็วเต้นไม่เป็นจังหวะอีกรอบ ผมรีบสตาร์ทรถแล้วบิดสุดความเร็ว เป้าหมายคือบ้านที่เพิ่งหนีออกมาเมื่อไม่นาน

ผมเปิดประตูบ้านเข้าไปพร้อมตะโกนเรียกหาคนที่ส่งข้อความมาให้เมื่อกี้ “แม่ แม่ แม่!” มีเสียงตะโกนกลับมาจากห้องโถงว่า “แม่อยู่นี่ลูก...” ผมวิ่งกลับไปหาต้นเสียงนั้น ระยะทางไม่ได้ไกลแต่รู้สึกไปถึงช้าเหลือเกิน พอไปถึงผมก็เห็นผู้หญิงที่อุ้มท้องผมมา 9 เดือน เจ็บปวดเบ่งคลอดผมออกมาหายใจในโลกใบนี้ คนที่คอยเลี้ยงดูอุ้มชูป้อนนมไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าผมจะงอแงร้องไห้งี่เง่า แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งผมไปไหน มือข้างขวาของแม่ถือหูโทรศัพท์อยู่ ส่วนมืออีกข้างถือกระดาษทิชชู่ที่ชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา พอเห็นหน้าผมตาของแม่ซึ่งแดงก่ำก็มีหยดน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ผมวิ่งเข้าไปกอดแม่แล้วร้องไห้พร้อมพูดซ้ำๆ ว่า “แม่ครับ ผมขอโทษๆๆๆ” แม่ก็เอามือลูบหัวแล้วพูดเบาๆ ว่า “ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้วลูก” แล้วผมก็ปล่อยโฮใหญ่เป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง

ผมสัญญากับตัวเองในตอนนั้นเลยว่าจะไม่มีทางทำให้ผู้หญิงคนนี้เสียน้ำตาเพราะผมอีกเป็นครั้งที่สอง ผู้หญิงที่รักผมอย่างสุดหัวใจ และยังพร้อมจะอ้าแขนให้อภัยเด็กผู้ชายที่ทำตัวงี่เง่าคนนี้ เด็กที่เถียงคอเป็นเอ็นไม่ยอมแพ้ คนที่ปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกมาโดยไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลัง คืนนั้นผมนอนหลับไปเพราะความเหนื่อย ส่วนผู้หญิงที่ผมคบหาอยู่ด้วยเธอไม่ได้โทรมาหาหรือส่งข้อความฝากไว้ด้วยซ้ำ

ความสัมพันธ์ที่ผมเรียกว่า “รักแรก” นั้น จบลงอย่างไม่สวยงามหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ผมได้เรียนรู้ถึงการโดนหักอกและหักหลังคอมโบเซตครั้งแรกในชีวิต มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดที่เคยประสบมา เพราะปราศจากประสบการณ์ชีวิต พอมีเรื่องที่คาดหวังเอาไว้มากๆ (อย่างเช่นรักแรก) แล้วทุกอย่างพังทลายมักจะรุนแรงเสมอ ต้องใช้คำสรรพนามเกินจริง เช่น “แหลกสลาย” กันเลยทีเดียว แล้วใครล่ะที่ผมหันไปซบอกถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่รักผมอย่างไม่มีเงื่อนไขที่เรียกว่า “แม่”

แม่ผมบอกว่าชีวิตคล้ายกับการขี่จักรยาน ไปข้างหน้าได้ก็เมื่อล้อยังหมุน เจอหลุมบนถนนที่ขรุขระ กระเด้งกระดอน อาจจะเผอเรอมัวมองดอกไม้ข้างทางลื่นไถลเจ็บตัวได้แผลเป็นไว้ดูต่างหน้า นั่นก็เป็นธรรมดาของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต”

ผมนอนตักแม่แล้วก็ร้องไห้ระหว่างที่เล่าเหตุการณ์ให้แม่ฟัง แม่ลูบหัวแล้วฟังอย่างใจเย็นจนจบ แล้วเธอก็พูดประโยคเดียวกันกับข้อความที่ส่งไปให้ผมเมื่อคืนวันนั้น ข้อความสั้นๆ ที่ทำให้ผมรีบกลับบ้านอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

“ยังไงแม่ก็รักลูกนะครับ - แม่”

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง