posttoday

นพ.นภดล นพคุณ เตือนระวัง ‘ไข้กาฬหลังแอ่น’

11 กรกฎาคม 2558

ฉบับนี้ นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ที่จะมาเล่าให้ฟัง

โดย...สุภชาติ เล็บนาค

ฉบับนี้ นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ที่จะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโรค “ไข้กาฬหลังแอ่น”หลังพบผู้ติดเชื้อที่ จ.สตูล และจังหวัดภาคใต้ 

คุณหมอนภดล บอกว่า ไข้กาฬหลังแอ่น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบเข้ากระแสเลือดโดยผู้ป่วยบางคนที่ติดเชื้อชนิดนี้ สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยเฉลี่ยอยู่ที่ 20-50 ราย/ปี และจำนวนผู้ป่วยค่อนข้างคงที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2554 พบผู้ป่วยจำนวน 22 รายเสียชีวิต 2 ราย

สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria meningitidis ซึ่งประมาณ 10% ของคนทั่วไป จะตรวจพบเชื้อชนิดนี้เจริญอยู่ที่หลังโพรงจมูก โดยไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ เรียกว่าเป็นพาหะโรค หากเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่กันอย่างแออัด เช่น ค่ายทหาร หอพัก อาจพบผู้ที่เป็นพาหะโรคของเชื้อได้มากขึ้น

“การติดเชื้อจะเกิดเฉพาะจากคนสู่คน โดยการหายใจเอาเชื้อแบคทีเรียที่กระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย หรือของผู้ที่เป็นพาหะ หรือการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งเหล่านี้แล้วนำมาสัมผัสกับเยื่อบุจมูก ตา หรือปาก ผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วย หรือใกล้ชิดผู้ป่วยที่เกิดภาวะติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด จะมีโอกาสติดเชื้อจากผู้ป่วยมากกว่าปกติ 400 เท่า พบได้ในทุกอายุ แต่มักพบในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่”

ส่วนอาการพบได้ 3 แบบ คือ 1.เยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 2.เยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 3.ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย โดยจะเป็นอยู่ 1-2 วัน แล้วตามด้วยการเกิดผื่นที่ผิวหนัง โดยจะเริ่มต้นจากผื่นแบบแบนราบสีแดงจางๆ ต่อมาจะเกิดจุดเลือดออกเล็กๆ สีแดงเข้ม ขนาด 1-2 มิลลิเมตร บริเวณลำตัวขา และบริเวณที่มีแรงกดบ่อยๆ เช่น ขอบกางเกง ขอบถุงเท้า รวมถึงใบหน้า มือ แขนเยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก โดยอาจกลายเป็นตุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่มีเลือดออก อาจเน่าและทำให้เกิดเนื้อตายได้

หากผู้ป่วยเกิดเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ก็จะมีอาการปวดต้นคอ คอแข็ง หลังแข็งและซึมร่วมด้วย การวินิจฉัยทำโดยการเจาะเลือด เจาะดูดน้ำไขสันหลัง หรือตัดชิ้นเนื้อบริเวณผื่นไปตรวจหาเชื้อ ส่วนการรักษาใช้ยาปฏิชีวนะควบคุมโรคได้หลายชนิดและมีประสิทธิภาพดี

สำหรับผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด มีอัตราตายประมาณ 5% โดยหากมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยจะมีอัตราตายสูงขึ้นเป็น 10-40% แต่หากติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดรุนแรงจะมีอัตราตายสูงถึง 70-80%

หากสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว หากมีบุคคลได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน รวมทั้งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรรับประทานยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ และหากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นควรได้รับวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับบุคคลทั่วไป การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นต้องเข้าไปควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือบ่อยๆ

ข่าวล่าสุด

กนง. เปิดเกมผ่อนคลายเต็มรูปแบบ ดอกเบี้ยขาลงรับเศรษฐกิจแผ่ว จับตาลดอีกเหลือ 1.0% ต้นปี 2569