เอเดรียน ฉัว เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์แห่งแมนโดป๊อป
ถึงจะล่วงเข้าหลักสี่แล้ว แต่เชื่อเถอะว่าเชฟหนุ่มใหญ่ท่าทางกระฉับกระเฉงตรงหน้า มีดีมากกว่าฝีไม้ลายมือที่เห็น ทำให้ต้องตามมาทำความรู้จัก
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
ถึงจะล่วงเข้าหลักสี่แล้ว แต่เชื่อเถอะว่าเชฟหนุ่มใหญ่ท่าทางกระฉับกระเฉงตรงหน้า มีดีมากกว่าฝีไม้ลายมือที่เห็น ทำให้ต้องตามมาทำความรู้จัก เพราะ เอเดรียน ฉัว เชฟใหญ่แห่งห้องอาหารจีนแมนโดป๊อป โรงแรมโอเรียนทอล เรสซิเดนท์ ไม่เพียงคร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมากว่า 20 ปี แต่เขายังโกอินเตอร์ร่วมงานกับโรงแรมและร้านอาหารดังๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่ที่ชวนว้าวสุดๆ คือ ครั้งหนึ่งเขาผู้นี้เคยเป็นนายแบบสมัครเล่นให้กับแบรนด์ดังอย่างลีวายส์มาแล้ว
เชฟสิงคโปร์มาดนิ่ง พานั่งไทม์แมชีนย้อนไปวันวานว่า เข้าวงการมาแบบจับพลัดจับผลู เพราะเริ่มต้นจากการเป็นพาร์ตไทม์ในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ซึ่งตอนนั้นเชฟเพิ่งจะอายุได้ 20 ปี ยังไม่มีจุดหมายในชีวิตชัดเจน
“ตอนนั้นผมทำอาหารไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่ก็ไปเป็นลูกมือ ทำทุกอย่างที่ได้รับคำสั่ง ทำไปก็ครูพักลักจำไป จนกระทั่งทำได้ 3 เดือน ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกุ๊ก พอทำครบ 1 ปี ก็เลื่อนตำแหน่งอีก ปรากฏว่าทำแค่ 1 ปี ได้เลื่อนตำแหน่ง 2 ครั้ง จุดนี้เองทำให้ผมคิดว่าบางทีอาชีพนี้อาจจะใช่สำหรับผมแล้วก็ได้”
เชฟเอเดรียน บอกว่า จุดพลิกผันเล็กๆ นี้เอง ทำให้เชฟในวัยหนุ่มตัดสินใจหันหลังให้ทุกอย่าง ทั้งเรียนต่อด้านวิศวกรทางทะเลตามรอยคุณพ่อ รวมทั้งอาชีพในฝันของใครหลายคนอย่างนายแบบ แม้จะมีใบเบิกทางที่ดี หลังจากแคสติงผ่านจนได้รับเลือกเป็นนางแบบให้ถ่ายโฆษณาลงนิตยสารให้แบรนด์ลีวายส์
“พอคิดว่าจะโฟกัสกับอาชีพเชฟ ผมก็เข้าไปทำงานในห้องอาหารจีนวานเฮาของโรงแรมแมริออท สิงคโปร์ ทำได้ 6 ปี ผมเริ่มสนใจทำอาหารฝรั่ง เลยตัดสินใจขอย้ายไปอยู่ครัวฝรั่ง ตอนนั้นไฟแรงมาก เพราะถึงโดนตัดเงินเดือนไป 500 เหรียญ ผมก็ยอม เพราะอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ”
ความรู้ที่เชฟเอเดรียนได้รับจากการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้นี้เอง ทำให้ในที่สุดสามารถสร้างจุดเด่นให้อาหารจีน ด้วยการนำเสนอในรูปแบบใหม่ คือ ฉีกกฎอาหารจีนจากเดิมที่ต้องจานใหญ่ เป็นอาหารเหลา สู่การเป็นอาหารจีนแบบอินเตอร์ คงรสชาติออริจินัล แต่หน้าตาทันสมัยสวยงามไม่แพ้อาหารฝรั่ง
หลังสั่งสมความรู้ในการทำอาหารฝรั่งได้พอตัว เชฟเอเดรียน เล่าว่า ตัดสินใจกลับไปหาครัวจีนอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เอง ทำให้เชฟมีโอกาสเข้าแข่งขันในรายการ Asian South Korean Black Box ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดังมากในวงการร้านอาหารและโรงแรม โดยในการแข่งนี้เชฟบอกว่าค่อนข้างกดดัน เพราะต้องเปิดกล่องดำ ลุ้นว่าได้วัตถุดิบอะไรเพื่อมาประกอบอาหารภายในเวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งการแข่งขันในครั้งนั้น เชฟคว้ารางวัลที่ 3 มาครองได้สำเร็จ
จากชื่อเสียงและประสบการณ์ที่สั่งสมมานานนี้เอง ในที่สุดเชฟเอเดรียนได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ได้โกอินเตอร์ไปเป็นเชฟให้ห้องอาหารจีนมาย ฮัมเบิล เฮาส์ ณ โรงแรมไอทีซี เมอร์ยา โรงแรมหรูหราระดับห้าดาว ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ก่อนจะได้รับการทาบทามมาประจำห้องอาหารแมนโดป๊อป ที่กลางกรุงเทพฯ แห่งนี้
“ผมไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่ในอาชีพนี้ แต่จนถึงวันนี้ก็ 20 ปีเต็มแล้วที่สวมหมวกเป็นเชฟ ถามว่าสนุกมั้ย ผมว่าคงเหมือนทุกอาชีพที่มีขึ้นมีลง บางวันก็เครียด โดนกดดันเยอะ ตอนผมมาเป็นเชฟใหม่ๆ ก็เคยมีแวบๆ ที่อยากจะลาออกเหมือนกัน แต่เพราะคำสอนของคุณพ่อที่บอกว่า คนเราไม่มีเวลาจะมาเปลี่ยนงานเพื่อทดลองไปเรื่อยๆ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือ โฟกัสกับงานที่ทำอยู่ และทำมันให้ดีที่สุด”
ถามว่าอะไรถึงทำให้อยู่กับอาชีพนี้มาได้ 2 ทศวรรษ เชฟเอเดรียนตอบว่า ต้องขอบคุณที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้สามารถเดินทางไปทำงานในประเทศต่างๆ ได้อย่างไร้อุปสรรค ต่างจากเชฟห้องอาหารจีนทั่วไปที่ส่วนใหญ่สื่อสารได้แต่ภาษาจีน ทำให้บางครั้งไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้า หรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร
วกมาที่ไลฟ์สไตล์ของเชฟหนุ่มภูมิฐาน เชฟเอเดรียน บอกว่า เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับปาร์ตี้และการท่องเที่ยว
“ผมชอบไปเที่ยวทะเล เกาะล้าน เกาะช้าง พัทยา ผมไปมาหมดแล้ว ผมชอบไปกินอาหารท้องถิ่น เดินตลาดสดเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ในการทำอาหาร”
ส่วนเป้าหมายในอนาคตนั้น เชฟฝันจะได้เป็นคอร์เปอเรตเชฟ ดูแลห้องอาหารที่มีหลายๆ สาขา มีหน้าที่ให้คำแนะนำซูส์เชฟในการทำอาหาร แต่สำหรับตอนนี้เชฟขอทุ่มเทให้แมนโดป๊อป ซึ่งยังเป็นร้านอาหารน้องใหม่มากเป็นอันดับแรกก่อน


