มื้ออร่อยประทับใจ ณ แดนอาทิตย์อุทัย
มื้อไหนๆ ก็ไม่อร่อยเท่ามื้อนี้หรอกคร้าบบบบ มื้อที่เรามีโอกาสบินลัดฟ้าไปหม่ำของอร่อยไกลถึงญี่ปุ่นนู่นเลย
โดย...อัคร เกียรติอาจิณ
มื้อไหนๆ ก็ไม่อร่อยเท่ามื้อนี้หรอกคร้าบบบบ มื้อที่เรามีโอกาสบินลัดฟ้าไปหม่ำของอร่อยไกลถึงญี่ปุ่นนู่นเลย
โตเกียว คือจุดหมายหลักของเรา ถัดไปก็เป็นเมืองฮาโกเน---ที่มีทะเลสาบอาชิ ไว้เชิดหน้าชูตา ต่อด้วยเมืองเงียบสงบงาม---คาวาคูชิโกะ ในจังหวัดยามานาชิ ก่อนจะอำลา---แดนอาทิตย์อุทัยที่เมืองชิบะ
ความอร่อยถูกเสิร์ฟไม่อั้นในแต่ละมื้อ จัดหนักจัดเต็มโดย 2 ผู้บริหาร ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ ผู้ซึ่งชื่นชอบการกินเป็นที่ซู้ดดดดด คุณสามี “พี่อู๊ด-อัญชลิน พรรณนิภา” กะคุณศรีภรรยา “พี่ตุ๊ก-นภัสนันท์ พรรณนิภา”
เรียกว่าไม่อิ่มไม่เลิก ไม่พอสั่งเพิ่ม ไม่พุงกาง (แอนด์พุงยื่น) ออกจากร้านจะไม่ (ยอม) หยุด (เด็ดขาด) ทั้งคู่ว่าอย่างงั้น ก็ในเมื่อจัดอลัง (การ) อย่างนี้ มีรึเราและเพื่อนสื่อร่วม 20 ชีวิต จะกล้าปฏิเสธ (ใช่ป่ะ?)
เริ่มต้นมื้ออร่อยแรกในร้าน “ยากินิกุ” (เนื้อย่าง) เสิร์ฟสไตล์บุฟเฟต์ มีของสารพัดที่ย่างไฟได้วางเรียงรายใส่ถาดให้เลือกมากมาย พิเศษคือเนื้อหมัก หมูหมักสูตรทางร้าน สีออกแดงปนส้ม แบบไม่หมักก็มี ใคร่เนื้อก็ตัก ใคร่หมูก็คีบ ปลาไข่ หมึกสด หมึกกรอบ ผักต่างๆ รวมทั้งของแนมกินเล่นก็แยะ ละลานตาไปหมด
ที่นี่ขึ้นป้ายร้านชื่อ Karne Station ถามความหมายจากไกด์ใจดี “พี่เป็ดทินกร อาวัฒนกุลเทพ” แห่ง โซร่า ทราเวล พี่ท่านก็ส่ายหน้าทันควัน ไม่มีความหมาย เพราะน่าจะยืมคำมาจากต่างประเทศ แต่ช่างเถอะ เป็นอันว่าเราอิ่มอร่อยมากกกก ถึงขั้นทำท่าสาละวันเตี้ยลงไม่ได้เชียวแหละ
เบรกกระเพาะด้วยการไปไหว้พระขอพรที่วัดอาซะกุซา ย่านนากามิเซะ ไหว้พระเสร็จก็เดินชิล ชิล ในตลาดที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งเขาจัดการได้ดี เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน ของกินที่นี่มากสุดจะเป็นขนมพื้นเมือง
“เค้กมันเทศ” สีสันเหลืองอ๋อย น่ากินมากๆ ชิมดูได้ความนุ่มหวานมันลงตัว อีกอย่างที่อร่อยขาดใจดิ้น “มันเทศเชื่อม” อาจหวานไปหน่อยแต่อร่อยถูกลิ้น ขนมโดราเอมอนก็มี “โดรายากิ” มีหลายไส้ แต่ไส้ต้นตำรับถั่วแดงกวนก็ยังได้รับความนิยมอยู่
“เซนเบ” หรือแป้งย่างไฟชุบซีอิ๊ว อันนี้เราชอบเป็นการส่วน ชอบรสชาติเค็มๆ มันๆ หอมๆ แต่ต้องกินร้อนๆ ย่างเสร็จก็ชุบซีอิ๊ว กัดกินเดี๋ยวนั้นเลย ได้ความอร่อยแบบสดใหม่ ซึ่งที่นี่ก็มีหลายร้าน ย่างไป ขายไป กินไป อ้อ!!! ลืมบอกใครจะกินควรหาที่หลบนิดหนึ่ง ด้านข้างหรือหลังร้านนั่นละ ดูดีมีมารยาท เดินถือกินเคี้ยวตุ้ยๆ ในปาก มิควรอย่างยิ่ง
อิ่มขนมแล้วก็มาต่อที่มื้ออร่อยยามค่ำคืนย่านชินจูกุ แสงสีวูบวาบชวนให้ใจหวามไหวไปกับร้านรวงที่เปิดท้าทายตลอดสองข้างทางและตรอกซอย แต่เราก็ทำเป็นเชิดใส่ เพราะบังเอิญมีนัดกับสาวๆ ร้านชาบู โมโมพาราไดซ์ ซึ่งค่อนข้างใหญ่ดูดี มีลูกค้าหลากหลาย ญี่ปุ่น ฝรั่ง จีน แล้วก็คนไทยอย่างเราที่มาฝากท้องไว้ในหม้อชาบูร้อนๆ สั่งได้ทั้งเนื้อและหมู จุ่มๆ จิ้มๆ ก็สนุกและอร่อยไปอีกแบบ
อีกมื้อที่อร่อยและประทับใจคือ “ปลาวาคาซางิทอด” เมนูเด็ดเมืองฮาโกเน ทอดกันเองในกระทะน้ำมันเดือด ทอดจนเกรียมตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน หม่ำกับข้าวนุ่มๆ ปลาวาคาซางิตัวเล็กผอมๆ เท่านิ้วกลางได้ความกรอบนอกนุ่มใน รสชาติมันหวานแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม ถือเป็นจุดขายและจุดเด่นของร้าน โกฮังโสะ ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบอาชิ แถมด้วยสลัดญี่ปุ่น ง่ายๆ พื้นๆ แต่อร่อยเหลือร้าย
จากนั้นก็พักท้องไส้นั่งกระเช้าไฟฟ้าไปหุบเขาโอวาคุดานิ ชมบ่อน้ำแร่กำมะถัน ที่นี่วิวสวยราวกับภาพวาด หมอกเมยลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เป็นฉากหลังสวยๆ เหมาะแก่การลั่นชัตเตอร์
มาถึงบ่อน้ำแร่แล้ว (เขา) ฮิตกันจังก็คือ “ไข่ดำ” (ฮิตไม่ฮิตก็วัดจากเศษเปลือกที่เกลื่อนบนโต๊ะ) ที่ต้มจากบ่อน้ำแร่กำมะถัน ซึ่งความหมายและเรื่องเล่าของไข่ดำมีอยู่ว่า กินไข่ดำ 1 ฟองจะอายุยืน 7 ปี กินมากๆ จะยิ่งอายุยืนและคอเลสเตอรอลถามหาได้ (ฮา)
ไข่ดำนั้นแต่เปลือก กะเทาะเปลือกออกเห็นไข่ขาวๆ บิออกจะเจอไข่แดง เหยาะเกลือเล็กน้อย กัดกิน โอ้!!! โออิชิ โออิชิ (เลียนแบบเหมือนน้องผู้หญิงที่ยืนกินอยู่ข้างๆ ไง อิอิ)
กินปลาวาคาซางิก็แล้ว กินไข่ดำก็แล้ว แต่หน้าที่ของเราไม่จบลงเท่านี้ ยังมีมื้อค่ำต่ออีก (นะ) โดยย้ายตัวเองมาอยู่ยืนจังก้าท้าลมหนาวที่คาวาคูชิโกะ เมืองเงียบงามแสนประทับใจ ที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ รอยัล คาวาคูชิโกะ แต่งแบบบ้านๆ นอนเสื่อตาตามิ กินอาหารพื้นเมืองตามธรรมเนียม “ไคเซกิ” (ศิลปะชั้นสูงการทำหรือตกแต่งอาหาร ดึงดูดสายตาด้วยความน่ากิน) อันประกอบไปด้วย “หม้อไฟ” “สลัด” “เทมปุระ” “ปลาดิบ” ชอบน้ำซุปหม้อไฟ รสกลางๆ แต่ซดได้เรื่อยๆ เพิ่มเส้นราเมนโฮมเมด ซู้ดกินร้อน แกล้มเบียร์ โห แค่นี้ก็อร่อยมากมาย
บอกแล้วไงว่าเขาจัดหนักจัดเต็ม ความอร่อยจึงยังไม่หมดซะที มื้อเที่ยงที่ประทับใจอีกหนึ่งก็ต้องยกให้ร้าน โยกังออนเซน ที่ภูมิใจนำเสนอ “หมูย่างบนหินภูเขาไฟ” ชอบร้านนี้ตรงที่ไม่อัดอัด โปร่งโล่งนั่งสบาย หมูชิ้นโตวางนาบลงบนหินภูเขาไฟ ใจเย็นๆ เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พลิกสองตลบก็สุกพร้อมหม่ำ หมูมั้ยล่ะ!?!
ตกเย็นก็เป็นมื้อพิเศษที่เอาใจคนเลิฟปูโดยเฉพาะ นายกฯ ปู---ยิ่งลักษณ์ น้องปู---ไปรยา หรือซามูไร---กล้ามปู อร๊ายยยไม่ใช่อ่ะ ปูที่ว่าคือปูยักษ์ตัวเขื่อง เห็นแล้วน่ากัดน่ากินชะมัด “ปูสึไว” “ปูทาราบะ” แถมให้อีกหนึ่ง “ปูขน” จับแล้วจั๊กจี้มือ อึ๋ยยย!!!
กินปูนี่เป็นอะไรที่สนุกสนานปนอารมณ์รำคาญอยู่ไม่น้อย คนกินเป็น (หมายถึงแกะปูเป็นอ่ะนะ) ก็จะสนุกเพลินที่จะแกะ-แงะ-แทะ-ดูด แต่คนกินไม่เป็นก็ชักจะรำคาญที่ไม่สามารถแอ้มปูได้ตามใจประสงค์ ทั้งๆ ที่ก็ (อุตส่าห์) คว้าปูก้ามโตไปครอบครอง เห็นรึยังว่ากินปูไม่ง่าย กินน้องปูน่ะง่ายกว่าตั้งแยะ ฮะฮา เอิ๊กกก
ไหนๆ ก็ไหนๆ หม่ำอาหารญี่ปุ่นมาหลายวัน ขอส่งท้ายทริปความอร่อยด้วยรสชาติแบบไทยๆ ให้หายคิดถึงซะหน่อย ว่าแล้วเราก็แวะไปอิ่มหมีพีมันกันที่ร้าน แก้วใจ สาขาเมืองชิบะ ใกล้กับสนามบินนาริตะ (ปัจจุบันมี 5 สาขา)
4-5 เมนูถูกเสิร์ฟมาแบบในพอร์ชันบิ๊กๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นเมนูคุ้นเคย “กะเพราไก่” รสชาติเผ็ดพอประมาณ ไม่จัดจ้าน แต่กินกับข้าวสวยร้อนๆ ชวนให้น้ำตาไหล คิดถึงกะเพราไก่เมืองไทย “แกงเขียวหวานไก่” “ส้มตำไทย” แซบหลาย รสจัดกว่าที่เคยกินมา “ไข่เจียว” จานนี้พื้นๆ แต่ช่วยคลายความเผ็ดร้อนได้ รวมถึง “ผัดผัก” ก็กินได้เรื่อยๆ
ยังไม่หมดนะ มาที่ร้านนี้อยากให้ลอง “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ” กับ “ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก” ว่ากันว่าป๊อปปูลาร์มากในหมู่คนไทยในญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่นเองก็ชอบ และที่ห้ามพลาดคือ “ฉู่ฉี่ปลาซูซูกิ” ปลาญี่ปุ่นโคจรมาเจอเครื่องแกงไทย เป็นจานฟิวชันอร่อยเลิศ
ฉันใดก็ฉันนั้น งานฉลองที่ว่ามันส์ๆ ก็ยังต้องมีวันเลิกรา เช่นกัน---มื้ออร่อยสุดประทับใจของเราก็ต้องจบลงด้วยดี ซาโยนาระนะครับ มื้ออร่อย (มากมาย) ณ แดนอาทิตย์อุทัย


