หลวงปู่ศรี มหาวีโร อัตตมโนภิษุผู้มีใจเป็นของตน(จบ)
เป็นการฝึกตนก่อนที่จะเข้าหาพระอาจารย์มั่น ซึ่งได้ยินชื่อเสียงมาตลอดว่า
เป็นการฝึกตนก่อนที่จะเข้าหาพระอาจารย์มั่น ซึ่งได้ยินชื่อเสียงมาตลอดว่า
โดย..ภัทระ คำพิทักษ์
เป็นคนดุและเป็นอาจารย์ใหญ่ผู้เข้มงวด เวลาผ่านไป 4 ปี ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาพอสมควรแล้ว ในปี พ.ศ. 2492 จึงเข้าไปกราบพระอาจารย์มั่น
พอถูกถามว่า ไปเที่ยวกรรมฐานที่ไหนมาบ้าง แล้วเรียนตอบไป พระอาจารย์มั่นก็กล่าวขึ้น แต่ว่า “เอ้อ ก็พอมีสติอยู่บ้างเนาะ”
ท่านว่าฝึกมาแทบล้มแทบตาย หลวงปู่มั่น บอกว่า มีสติอยู่บ้างเนาะ เมื่อได้มาอยู่กับหลวงปู่มั่นแล้วจึงตั้งสัจจะว่า จะเร่งความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะเชื่อว่าคนเราเมื่อทำจริงต้องได้รับผลจริง ถ้าไม่จริงก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าทำจริง ปฏิบัติจริง มรรคผลย่อมเกิด ความเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีสัจจะวาจาก็เกิดจากการปฏิบัติของตนเอง
ผลของการอยู่กับพระอาจารย์ใหญ่ ซึ่งรู้หมดทั้งเรื่องนอกเรื่องในใจ ทำให้สติแนบสนิทกับใจอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมานั่ง เดินไปไหนมาไหนรู้อยู่ในใจตลอดทั้งวัน
หลวงปู่มั่นท่านมีวิธีการสอนและจำแนกชัดว่า เมื่อสอนแล้วจะส่งให้ไปภาวนาไหนที่ใครเหมาะกับภูมิประเทศอย่างไร
คำชี้แนะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มิได้เพียงแต่ช่วยให้ท่านดำเนินถูกทาง หากแต่หลวงปู่ศรียังได้นำมาแก้ไขให้โยมพ่อของท่าน ซึ่งต่อมาได้ออกบวชเป็นพระภิกษุด้วย นั่นคือ พระพ่อภาวนากระทั่งจิตสงบแล้วจิตหลบเข้าไปอยู่ในความสงบ ไม่อยากทำอย่างอื่น เข้าสมาธิได้ก็จะดิ่งไปที่ความสงบอย่างเดียว
ภาวะแบบนั้นท่านผ่านมาก่อนแล้วและแก้ไขได้ เมื่อพระอาจารย์มั่นเตือนว่า นี่คือ โมหะสมาธิ หากเกิดขึ้นต้องแก้ให้เป็น “ปัญญาสัมมาทิฐิจิต”
วิธีการแก้ คือ ให้ตามรอยจิตเหมือนตามจับโจรมาเข้าคุก เผลอไม่ได้ เมื่อตามได้แล้วอย่าปล่อยใจเข้าไปหลบในสมาธิอย่างนั้นอีก ให้เดินปัญญาด้วยการคลี่กายออกมาพิจารณา โดยอนุโลมและปฏิโลม เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง
พระอาจารย์มั่นนิพพานไปก่อนที่หลวงปู่ศรีจะตัดคานอวิชชาขาด แต่ก่อนสิ้นพระอาจารย์มั่นได้เอ่ยปากไว้ว่า “เมื่อเราตายให้หมู่เพื่อนพึ่งมหาบัว”
หลังพระอาจารย์มั่นละขันธ์ไปแล้ว ท่านจึงติดตามพระอาจารย์มหาบัวเที่ยวกรรมฐานอยู่ 2 พรรษา จากนั้นก็ได้ไปภาวนากับครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร หลวงปู่บัว สิริปุณโณ ฯลฯ ก่อนมาตั้งวัดป่ากุงขึ้นในปี พ.ศ. 2496
แม้จะตั้งตัวได้ ศิษย์ทำผิดไปบิณฑบาตแล้วเก็บปากกามา ท่านรู้ในนิมิตจนมาซักไซ้ไล่เลียงหาทางแก้ไขได้ แต่ในปี พ.ศ. 2506 จิตที่เคยยิ้มย่องด้วยธรรมและเบ่งบานอยู่ข้างใน กลับเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
ความเสื่อมถอยของจิตของนักภาวนานั้นเป็นอย่างไร หลวงปู่ศรีเทียบให้ฟังว่า “เหมือนคนมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วสมบัตินั้นพลันมาฉิบหายมลายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นยาจกทุคตะเข็ญในใจทันใด”
ในภาวะเช่นนั้น เครื่องค้ำยันเดียวที่ประคองเอาไว้ คือ คำสอนของพระอาจารย์มั่นที่ว่า “อย่าส่ง (จิต) ไปข้างนอก อย่าส่งไปในอดีต อย่าส่งไปอนาคต”
เมื่อมาพิจารณาว่า ผู้ที่จะแก้ไขให้ได้ก็พบว่าผู้นั้น คือ พระอาจารย์บัว สิริปุณโณ หรือหลวงปู่บัว หนองแซง
เมื่อไปพบพระอาจารย์บัว พระอาจารย์บัวก็ได้แจ้งว่า จิตของพระอาจารย์บัวได้พ้นจากวัฏฏะของทุกข์ไปแล้ว โดยอุบายธรรมของพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
พระอาจารย์บัว เตือนว่า ถ้าเพลิดเพลินในการทำงาน เพลิดเพลินในการสนทนา เพลิดเพลินในการหลับ เพลิดเพลินในการคลุกคลี ไม่พิจารณาความหลุดพ้นของจิต จิตก็เสื่อมลงได้ วิธีแก้คือ ต้องมีความเพียรอย่างที่สุด และต้องเร่งภาวนา ไม่เร่งไม่ได้ ตัดความกังวล ตัดหมู่คณะออก พากเพียรรวมจิตให้เป็นเอกจิตให้ได้ ยิ่งถ้าเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุยิ่งคุมเอาคืนยากทวีคูณ
หลวงปู่ศรีลงมือเอาจิตคืนทันที วันหนึ่งขณะที่เร่งฝีจักรอยู่ที่วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี กับหลวงปู่บัวนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่มาเที่ยวช้อนกุ้งคุยกันบ้าง ร้องเพลงบ้าง ว่ากันว่า ถ้าเป็นช่วงอื่นแล้วมันก็เสียงธรรมดาแบบโลกๆ แต่ในช่วงการพิจารณาธรรมอย่างละเอียดนั้น เสียงเช่นว่าได้กระทบถึงจิตข้างใน ถึงขนาดท่านตกใจกลัวเลยต้องไปเรียนปรึกษาพระอาจารย์บัวอีกหน
คำแนะนำที่ได้ คือ “เสียงสตรีมันดังถึงจิตแล้ว ขอให้นั่งสมาธิแทน อย่าไปเดินจงกรม หยุดการเดินจงกรม นั่งสมาธิอย่างเดียว อย่ายุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นใด”
หลวงปู่ศรีนั่งลงภาวนาโดยตั้งสัจจะว่าถ้าไม่บรรลุธรรม จะไม่ลุกจากที่
หนนี้ท่านนั่งสมาธิรวดเดียวนานถึง 5 วัน 6 คืน 12 ชั่วโมง เปลี่ยนอิริยาบถเพียงครั้งเดียวด้วยการสลับขาขึ้นลง ข้างตัวมีกาเล็กๆ ใส่น้ำไว้จิบพอให้ชุ่มคอเท่านั้น
ท่านว่าเวทนาเกิดราวกับทุกขเวทนาทั้งแผ่นดินมารวมอยู่ที่เราผู้เดียว มันเร่าร้อนไปหมด มีเสียงราวกับโรงสีข้าววิ่งพล่าน น่องเท้าซ้ายซึ่งถูกทับอยู่เหมือนพุพองร้อนราวถูกไฟเผาลน ทุกขเวทนาแสนสาหัส ประหนึ่งว่านรกทั้ง 8 ขุมมาประชุมอยู่ในกาย แต่ก็อาศัยความอดทนมาพิจารณาคลี่คลายสังขาร
พิจารณากันไปตั้งแต่เช้ายันดึก ดึกยันค่ำ กี่วันกี่เวลาไม่รู้ ไม่มุ่งสิ่งใดนอกจากคว่ำกิเลส ถึงจะทุกข์ทรมานก็ไม่ลดละการพิจารณาอวิชชากับใจ
“ในที่สุดก็มายุติตรงที่ว่า อวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัดว่า จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆ อย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ 5 อายตนะ 6 ทำหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาผลาญจิตมาช้านาน โดยประการทั้งปวง เหลือแต่จิตดวงบริสุทธิ์ล้วนๆ สนามเต้นรำทำเพลงและเวทีของกิเลสไม่มีอีกแล้ว การทะเลาะบาดหมางลังเลสงสัย สับสนวุ่นวายในดีและชั่วจบลงแล้ว จิตว่างเปล่าจากกิเลสและการยึดติด เหลือแต่ธรรมธาตุรู้ล้วนๆ เพราะคำว่าทุกข์ได้พ้นจากใจไปโดยสิ้นเชิง
“อัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสามารถรู้เห็นได้ก่อน อัศจรรย์พระอริยะสาวกผู้สามารถตามเสด็จพระพุทธเจ้าได้ อัศจรรย์พระธรรมที่ตนเองรู้เห็น ถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่งพาอาศัยอะไรอีกต่อไป”
ทุกวันนี้หลวงปู่ศรีมีใจเป็นของตนเอง ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่งใดอีกแล้ว แต่ได้เป็นที่พึ่งของผู้คนจำนวนมาก มีคนพึ่งท่านในหลายลักษณะ บางคนรู้จักท่านในนามหลวงปู่ศรี ผีย่าน สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถสุนทริการาม ผู้ล่วงลับไปแล้วขนานนามท่านว่า “ศรีปากเข็ด” หรือหลวงปู่ศรี วาจาสิทธิ์
ท่านเป็นพระดี พระแท้ เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นโดยตรงรูปล่าสุดที่เพิ่งทิ้งขันธ์ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา


