posttoday

'เหมืองหยกเลือด' ธุรกิจในมือทหารที่คร่าชีวิตประชาชน

04 กุมภาพันธ์ 2564

เปิดขุมทรัพย์กองทัพเมียนมามูลค่ามหาศาลแต่ไม่ตกถึงมือประชาชน

เหมืองหยกในเมืองพะกาน รัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือของประเทศเมียนมานับว่าเป็นแหล่งหยกที่มีค่าและใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีมูลค่ามหาศาลเกือบเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศตามรายงานขององค์กรเอ็นจีโอ Global Witness หรือสร้างมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 9 แสนล้านบาท) ต่อปี แต่เงินเหล่านั้นแทบจะไม่ถึงมือคนธรรมดาหรือกองทุนของรัฐเลย

ตามรายงานขององค์กรข้างต้นยังกล่าวอีกว่าการค้าหยกถูกควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นนำของกองทัพเมียนมาและพวกพ้อง พวกเขากอบโกยผลกำไรมากมายบนความทุกข์ยากของแรงงานเหมือง

ขณะที่ประชาชนในรัฐคะฉิ่นต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียวิถีชีวิตและภูมิทัศน์ มรดกทางธรรมชาติที่มีค่าที่สุดของพวกเขาถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา

"ต้นไม้อยู่ในสวนของเราแต่เราไม่ได้รับอนุญาตให้กินผลไม้" 

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่หยกของเมียนมาเหมือนอยู่ในความลับ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทเจ้าของที่แท้จริงของขุมทรัพย์นี้ได้ ใครเป็นเจ้าของใบอนุญาต? ได้มาอย่างไร? เงื่อนไขของสัญญาคืออะไร? ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาล? ปริมาณในการผลิต? ทุกอย่างยังคงถูกตั้งคำถาม

ในปี 2015 Global Witness เผยว่ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากมีผลประโยชน์ในธุรกิจหยกพร้อมเปิดเผยรายชื่อผู้เกี่ยวข้องบางส่วน ได้แก่ พลเอกอาวุโส ตัน ชเว (Than Shwe) อดีตผู้นำเผด็จการรัฐบาลทหารเมียนมา, หม่อง หม่อง เต็ง (Maung Maung Thein) อดีตเลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาล และ อุน มยินต์ (Ohn Myint) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปศุสัตว์การประมงและการพัฒนาชนบทซึ่งเป็นอดีตนายพลระดับสูงในรัฐคะฉิ่น

รวมถึงกองทัพเมียนมายังได้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมหยกผ่านบริษัท Myanma Economic Holdings Limited และ Myanmar Economic Corporation

หลายคนในรัฐคะฉิ่นเชื่อว่ารายได้จากหยกจะช่วยสนับสนุนกองทัพในการทำสงครามกับกองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army : KIA) และองค์การเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Organisation : KIO)

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เกิดเหตุฝนตกดินถล่มที่เหมืองหยกซึ่งคร่าชีวิตประชาชนในพื้นที่ไปกว่าร้อยราย แรงงานเหมืองถูกทับฝังอยู่ในนั้น ทำให้อุตสาหกรรมหยกในเมียนมาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งและถูกประณามถึงการไม่ดูแลสวัสดิภาพของแรงงานตลอดจนมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในเหมือง

เหตุการณ์เดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2015 และ 2019 ซึ่งคร่าชีวิตแรงงานไปเกือบร้อยรายเช่นกัน แต่อุตสาหกรรมเหมืองก็ยังคงดำเนินต่อไปได้จนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพราะไม่มีผู้มีอำนาจคนใดมีอำนาจมากพอที่จะตรวจสอบและปฏิรูปการทำเหมืองนี้

ส่วนหนึ่งของบทความบนเว็บไซต์ ASEAN Today ยังระบุว่า "ตราบใดที่ททหารยังคงยึดครองเหมืองหยกในเมียนมาและพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ แรงงานเหมืองที่ถูกกดขี่จะยังคงต้องเผชิญกับอันตรายในอุตสาหกรรมขณะที่บรรดานายพลระดับสูงกอบโกยกำไร"

เว็บไซต์ Justice for Myanmar ระบุว่าเหมืองดังกล่าวเป็นของทหารและพวกพ้อง ดำเนินการโดยไม่มีการควบคุมและไม่โปร่งใสสร้างความขัดแย้งและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง พร้อมเผยว่าผู้ที่รับผิดชอบในกรณีเหมืองถล่มเมื่อปีที่แล้วคือบริษัท Jade Land ซึ่งเป็นของ ยุป ซอ ควาง (Yup Zaw Hkwang) และครอบครัว

ยุป ซอ ควางเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทหารเมียนมาและเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในรัฐคะฉิ่น ขณะที่ Jade Land ของเขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นบริษัทหยกที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา

กองทัพเมียนมาเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมหยกผ่านบริษัทย่อยและบริษัทแนวหน้าที่มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างบริษัท Myanma Economic Holdings Limited ของกองทัพก็ดำเนินการในอุตสาหกรรมหยกผ่านบริษัทในเครือคือ Myanmar Imperial Jade และเป็นที่ชัดเจนว่าผลกำไรมหาศาลย่อมไหลสู่บรรดาทหารชั้นนายพล นอกจากนี้กองทัพยังจัดหาใบอนุญาตในการขุดหยกให้กับพวกพ้อง เช่น KBZ Group

ตามรายงานยังได้ระบุรายชื่อบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ Jade Leaf ซึ่งถูกตำรวจตั้งข้อหาในเดือนมีนาคม 2020 ในข้อหาขุดหยกผิดกฎหมาย

นิตยสารธุรกิจ Frontier Myanmar เผยว่าแม้ว่าเมียนมาจะมีการเปิดเผยข้อมูลการจดทะเบียนและงบประมาณของบริษัทต่างๆ ในประเทศ แต่ก็ยังคงมีธุรกิจบางส่วนที่ถูกเก็บไว้ในกล่องดำ (black box) ซึ่งกล่องดำที่ใหญ่และมีกำไรมากที่สุดคือผลประโยชน์ทางธุรกิจของแวดวงทหาร

หลายบริษัทไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของผลประโยชน์ได้อย่างชัดเจนรวมถึงบริษัทของกองทัพเมียนมาอย่าง Myanmar Economic Holdings และ Myanmar Economic Corporation ด้วย

ก่อนหน้านี้กองทัพอ้างว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนช่วยในการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐ แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นความจริงหรือไม่ และผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นไปจบลงที่ใดและถูกใช้เพื่ออะไร

นอกเหนือจากความล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎกรรมสิทธิ์ที่เป็นประโยชน์อย่างถูกต้องแล้วยังมีกรณีอื่นๆ ที่บ่งชี้ว่ากองทัพกำลังเล่นนอกเกม อย่างการมีส่วนได้ส่วนเสียในท่าเรือสำคัญหลายแห่งในย่างกุ้งซึ่งสร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest)

ยังมีกรณีที่ นี อ่อง (Ni Aung) กรรมการผู้จัดการการท่าเรือเมียนมาลงนามในสัญญานำเข้าก๊าซธรรมชาติบนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาซึ่งถูกเช่าโดยบริษัท Myanmar Economic Holdings ของกองทัพซึ่งอัยการระบุว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ผิดกฎหมาย

เมื่อทหารเข้าสู่เวทีธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องเล่นตามกฎเดียวกับคนอื่นๆ จนท้ายที่สุดทั้งสองบริษัทข้างต้นของกองทัพก็ได้จดทะเบียนภายใต้กฎหมายและกำลังลงแข่งขันในภาคเอกชน

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68