เจาะความสำเร็จของRakuten เมื่อพนักงานถูกบังคับใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว
วิสัยทัศน์ไร้เทียมทานของบอสใหญ่ Rakuten "ฮิโรชิ มิกิตานิ" เมื่อเขาต้องการให้คนญี่ปุ่นที่มีความชาตินิยมสูงต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในบริษัท
ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อันดับมหาเศรษฐีมีการขยับเขยื้อนน้อยที่สุดสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะธุรกิจขนาดใหญ่มีอิทธิพลครอบคลุมทุกมิติของชีวิตผู้บริโภค ทำให้ยากที่คนรวยหน้าใหม่ๆ จะฝ่าด่าน 18 อรหันต์ขึ้นมาเทียบชั้นกับนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่มีฐานแน่นปึ้กได้อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงข้างต้นก็ยังมีข้อยกเว้น โดยเฉพาะในกรณีของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 5, 6 และ 7 ในการการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในญี่ปุ่นโดยนิตยสาร Forbes
เรากำลังจะพูดถึงอันดับที่ 6 คือ ฮิโรชิ มิกิตานิ วัย 54 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งและCEO แห่ง Rakuten บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
หากจะไล่เรียงรายชื่อคนรวยแดนซามูไร 10 คนแรกแล้ว จะพบว่า มิกิตานิ และอีก 2 คนเท่านั้นที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี จากนักธุรกิจระดับลายครามส่วนใหญ่ที่มีอายุเฉลี่ยสูง 70-80 ปีขึ้นไปและในระดับท็อป 10 มิกิตานิ มีอายุน้อยที่สุด แต่รวยที่สุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ด้วยทรัพย์สินสูงถึง 6,000ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยความที่มีอายุไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและกุมบังเหียนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัยทำให้มิกิตานิ มีแนวทางการบริหารที่ถึงลูกถึงคนตามสไตล์คนรุ่นใหม่ไฟแรงถึงกับได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้บริหารที่มีลีลาเชิงรุกและแข็งกร้าวมากที่สุดคนหนึ่ง
ฮิโรชิ มิกิตานิ เกิดเมื่อปี 1963 ที่เมืองโกเบ แต่ใช้ชีวิตช่วงวัยเยาว์ที่สหรัฐ เนื่องจากผู้เป็นพ่อเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยลอันลือชื่อ ซึ่ง มิกิตานิก็ตามรอยพ่อของเขาด้วยการจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮิโตะซึบาชิ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องวิชาเศรษฐศาสตร์และเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐ เมื่อปี 1991
มิกิตานิ เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจด้วยการร่วมงานกับธนาคารมิซุโฮ และอยู่ที่นั่นนาน 4 ปี ต่อมาเปิดบริษัทของตัวเองในชื่อ Crimson Group เมื่อถึงปี 1997 เขาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับตัวเองและวงการไอทีแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยการร่วมก่อตั้งบริษัท Rakuten ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายแรกๆ ของประเทศ
ในช่วงเวลานั้นการกระโจนเข้ามาจับธุรกิจอีคอมเมิร์ซนับเป็นการกระทำที่บ้าระห่ำพอดู เพราะในช่วงเวลานั้นมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่นเพียง 7 ล้านคนเท่านั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงอดปรามาสไม่ได้ว่า Rakuten คงไปไม่ถึงฝั่งฝันอย่างแน่นอน
Rakuten หรือ “ระคุเทน” มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “มองโลกในแง่ดี” และผลปรากฏว่าการมองโลกในแง่ดีของ มิกิตานิ และผองเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททำให้ผู้มองโลกในแง่ร้ายต้องยอมศิโรราบอย่างสิ้นเชิง เพราะธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีแต่โตกับโต
จนในวันนี้ Rakuten มีพนักงานถึง 14,826 คน ครอบคลุม 29 ประเทศ ด้วยรายได้เกือบ 141,8900 แสนล้านเยน แต่มิกิตานิ ไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขาสยายปีกครอบคลุมธุรกิจสายอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการธนาคาร การเงิน การท่องเที่ยวธุรกิจสื่อ และด้านบันเทิง ซึ่งล้วนแต่ทำผ่านเครือข่ายออนไลน์ทั้งสิ้น ยังไม่นับธุรกิจนอกโลกออนไลน์อย่างการเป็นเจ้าของทีมกีฬาดังๆ
การขยายกิจการครอบคลุมมิติต่างๆ ในโลกออนไลน์ของ มิกิตานิ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจในเชิงรุก จนหลายคนตั้งรับไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อยู่ใต้เงาของมิกิตานิ ไปเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งในวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใครของชายคนนี้ก็คือ แผนการที่จะผลักดันให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของบริษัท Rakuten ซึ่งเป็นแนวคิดที่บ้าระห่ำไม่แพ้ตอนที่ตั้ง Rakuten ใหม่ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าบริษัทนี้ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น อีกทั้งพนักงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความ “ไม่นิยม” ภาษาอังกฤษ และมีความเป็น “ชาตินิยม” สูง
ผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบโต้เป็นคนแรกกลับไม่ใช่พนักงานของบริษัท แต่กลับเป็น ทาคาโนบุ อิโตะ ผู้บริหารบริษัทฮอนด้าที่โจมตีว่าแผนการของมิกิตานิเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดี
แต่ฮิโรชิ มิกิตานิกลับไม่ยี่หระ เพราะเขาเชื่อว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ความได้เปรียบของคนบางคนอีกต่อไป แต่นับจากนี้ทุกๆ คนจะต้องรู้จักใช้ความได้เปรียบของภาษาอังกฤษโดยถ้วนทั่วกัน
บริษัท Rakuten จึงใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารตั้งแต่เอกสารภายใน ภาษาในการประชุม ไปจนถึงเมนูอาหารในแคนทีน ตามนโยบาย Englishnization หรือ การทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
แน่นอนว่าหลังจากมิกิตานิประกาศออกไป พนักงานหลายคนช็อคกับคำสั่งนี้
แต่หลังจากผ่านไป 8 ปี ที่ริเริ่มคำสั่งนี้ ปรากฎว่าพนักงานบริษัท Rakuten มีศักยภาพด้านภาษาดีขึ้นมาก นอกจากนี้บรรยากาศการทำงานยังมีความหลากหลายด้านเชื้อชาติมากขึ้น แต่ที่สำคัญคือ มันช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในยุคที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของโลกไปแล้ว และญี่ปุ่นไม่ใช่มหาอำนาจอันดับต้นๆ ที่ผู้คนต้องต้องหันมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อติดต่อธุรกิจกันเหมือนทศวรรษที่ 80
ความสำเร็จของ Rakuten ในด้านภาษาอังกฤษ ยังกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจชั้นนำของโลกหลายแห่ง แต่ที่ถือเป็นชัยชนะของมิกิตานิก็คือ บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นบางแห่งเริ่มใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางตามเขาบ้างแล้ว
นอกจาก มิกิตานิจะทำลายค่านิยมแบบเดิมๆ ในภาคธุรกิจของญี่ปุ่นแล้ว เขายังทำลายโครงสร้างอำนาจในภาคธุรกิจอีกด้วย
“ไคดันเรน” คือสมาพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่น ที่เป็นปากเป็นเสียงของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศ ด้วยจำนวนสมาชิก 1,601 ราย สมาพันธ์นี้จึงทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง มีอำนาจการต่อรองอย่างล้นเหลือ ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไคดันเรน
ฮิโรชิ มิกิตานิ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ปรารถนาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเสียงในสมาพันธ์ เขานำ Rakuten เข้าเป็นสมาชิกในปี 2011 แต่ในปีเดียวกันนี้เอง เขากลับถอนตัวออกจากไคดันเรน เพราะไม่พอใจที่ภาคธุรกิจยืนยันที่จะสนับสนุนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ต่อไป ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับวิกฤตนิวเคลียร์โรงไฟฟ้าฟูกุชิมา
การถอนตัวครั้งนี้ มิกิตานิ สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศผ่านทวิตเตอร์ก่อนที่จะยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการนับเป็นการตบหน้าสมาพันธ์ฉาดใหญ่
อีกทั้งต่อมามิกิตานิ ยังเป็นหัวหอกก่อตั้งสมาคมธุรกิจใหม่แห่งญี่ปุ่น (JANE) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับธุรกิจเลือดใหม่ของแดนอาทิตย์อุทัย ที่ไม่ต้องการสังฆกรรมกับบรรดานักธุรกิจสายอนุรักษ์นิยมในไคดันเรน
อ้างอิง
Miya Tanaka. Rakuten's English drive a case study of success, but wider adoption by Japan Inc. much slower going. The Japan Times. (NOV 7, 2018)
Michael Skapinker. The Japanese company that ordered staff to speak English. Financial Times. (DECEMBER 18, 2017)


