บริษัทวิจัยในจีนโคลนนิ่ง "สุนัขตัดต่อยีน" ตัวแรกของโลก
บริษัทวิจัยของจีนโคลนนิ่งลูกสุนัขที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมสำเร็จเป็นตัวแรกของโลก
บริษัทวิจัยของจีนโคลนนิ่งลูกสุนัขที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมสำเร็จเป็นตัวแรกของโลก
บริษัทวิจัยของจีนประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งลูกสุนัขที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมสำเร็จเป็นตัวแรกของโลก โดยตัดต่อใส่ยีนโรคหลอดเลือดแดงแข็งให้ลูกสุนัขเพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์
หลงหลง ลูกสุนัขโคลนนิ่งผลงานของ บริษัท ซิโนยีน ในกรุงปักกิ่งของจีน เกิดจากสุนัขโคลนนิ่งอีกตัวหนึ่งที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมให้เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว สาเหตุของอาการเส้นโลหิตในสมองแตกและโรคหัวใจที่องค์การอนามัยโลกประกาศว่า คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกเป็นอันดับหนึ่งในปี 2015 โดยยีนดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดไปสู่หลงหลงด้วย เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาอาการของโรคและวิธีการรักษา
การถือกำเนิดของเจ้าหลงหลงถือเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์นำเทคโนโลยีชีววิทยาล้ำสมัย 2 ชนิดมาใช้ร่วมกันในการโคลนนิ่ง นั่นคือ การตัดแต่งยีนหรือสารพันธุกรรมที่ชื่อว่า CRISPR และเทคโนโลยีการโคลนนิ่งเซลล์ร่างกาย ซึ่งเทคนิคหลังนี้เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ในการโคลนนิ่งดอลลี่ แกะโคลนนิ่งตัวแรกของโลก
ความสำเร็จนี้ ทางบริษัทอ้างว่าสามารถเทียบชั้นกับเกาหลีใต้ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการโคลนนิ่งสุนัขที่ประสบความสำเร็จเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ส่วนสาเหตุของการใช้สุนัขในการศึกษานั้น เฟิงชง หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของซิโนยีน เผยว่า เนื่องจากสุนัขมีโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกับมนุษย์จึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุด
แม้ความสำเร็จนี้จะเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทว่า ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรมตามมา ไม่ว่าจะเป็นจากตัวแทนกลุ่มองค์กรพิทักษ์สัตว์พีตา ที่ระบุว่าการวิจัยของซิโนยีนไร้จริยธรรม เนื่องจากเป็นการทรมานสัตว์ นอกจากนี้ ในประเทศจีนยังขาดตัวบทกฎหมายคุ้มครองสวัสดิภาพของสัตว์ทดลองอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีการร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นกฎหมายที่ชัดเจน
อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยเชื่อมั่นว่าการค้นคว้านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนายาและการวิจัยทางชีวการแพทย์ในอนาคต และชี้แจงว่าวิธีการศึกษาของบริษัทสร้างความเจ็บปวดให้สัตว์น้อยกว่าวิธีดั้งเดิมที่จะบังคับให้สัตว์กินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจนกระทั่งสัตว์เป็นโรค และสัตว์ทุกตัวของบริษัทได้รับการดูแลอย่างดี
ที่มา www.m2fnews.com


