เปิดวิธีคิดเวียดนามมองไทย
โดย...ตะวัน หวังเจริญวงศ์
โดย...ตะวัน หวังเจริญวงศ์
หากกล่าวถึงมุมมองของเพื่อนบ้านหลายประเทศที่มีต่อไทย เราอาจหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า หลายประเทศไม่ได้รู้สึกดีต่อไทยมากนัก เพราะมีความทรงจำและความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ที่ฝังรากลึกมานาน แต่สำหรับเวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ไม่ได้มีความรู้สึกต่อไทยในรูปแบบดังกล่าว
มนธิรา ราโท รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าในงานสัมมนาหัวข้อ “สถานภาพความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม: พลวัตแห่งกระบวนการรับรู้และความเข้าใจระหว่างกัน” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติแถบนี้ที่ไม่เคยมีประวัติศาสตร์การเป็น “คู่ตรงข้าม” กับไทยโดยตรง ประกอบกับไม่ได้มีพรมแดนติดกันโดยตรง จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เวียดนาม ไม่ได้ออกมาเป็นเชิงลบ
สำหรับไทยเอง มักมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งในหลายด้าน เช่น การส่งออกสินค้าเกษตร แต่สำหรับเวียดนามเองนั้นไม่ได้รู้สึกว่าไทยเป็น “คู่แข่ง” ของตัวเองเท่าไรนัก เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับไทย เขาจึงมองไทยในฐานะ “มาตรวัด” ด้านต่างๆ ให้แก่ตัวเอง
ในด้านเศรษฐกิจ เขาตีตลาดกัมพูชาสำเร็จ แต่เขาก็ยังพบว่าไทยครองตลาดลาวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ในด้านการท่องเที่ยวเขาก็มองไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยว ด้านกีฬา เขาก็ยังเทียบทีมฟุตบอลของเขากับเรา ด้านการศึกษา เขาก็ยังศึกษามาตรฐานของไทย ทั้งด้านงานวิจัย สถิติต่างๆ อยู่เสมอ”
เวียดนามยังให้ไทยเป็นมาตรวัดเปรียบเทียบอีกหลายเรื่อง เช่น ด้านผลิตผลทางการเกษตร มะม่วงเวียดนามขายได้ 5,000 ดอง มะม่วงไทยขายได้ 1.5 หมื่นดอง ทุเรียนเวียดนามขายได้ 1.1 หมื่นดอง ทุเรียนไทยขายได้ 2.5 หมื่นดอง สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้บริโภคก็ยังบริโภคสินค้าเกษตรไทย
นอกจากนี้ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลังตีพิมพ์เป็นหนังสือ “เวียดนาม เล็กหรือไม่เล็ก” ได้วิเคราะห์จีดีพีของเวียดนามในรอบ 5 ปี เพื่อใช้เป็นฐานเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน ข้อมูลดังกล่าวประมาณการณ์ว่าเวียดนามจะตามอินโดนีเซียทันใน 5 ปี ฟิลิปปินส์ใน 8 ปี ไทยใน 20 ปี มาเลเซีย 24 ปี บรูไน 38 ปี และสิงคโปร์มากกว่า 40 ปี สะท้อนให้เห็นมุมมองการประเมินเวียดนามที่มีต่อไทย
ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนของเวียดนามยังให้ความสนใจกับไทยในหลากหลายแง่มุม ข่าวสารที่กำลังเป็นที่สนใจของคนไทยในรอบปีนี้ เช่น เรื่องโค้ชเชและนักกีฬาเทควันโดของไทย เรื่องนางงามของไทยถูกทวงมงกุฎคืน ก็ปรากฏในเว็บไซต์ข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ในเวียดนามด้วย
วันก่อนมีโอกาสชมรายการทำอาหารของเวียดนาม มีผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งเลือกทำต้มยำกุ้งของไทย ไม่ใช่แค่นั้น กรรมการยังสามารถติชมได้ด้วยว่าต้มยำกุ้งชามนั้นรสชาติเหมือนต้นตำรับหรือไม่ แท้หรือไม่แท้ นอกจากนี้ เว็บไซต์ข่าวเวียดนามเน็ตก็ยังสอนวิธีทำลอดช่องของไทย สะท้อนว่าความรับรู้ของคนเวียดนามต่อไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการเยี่ยมเยียน หรือเจรจาข้อตกลงระหว่างประเทศ”
ทั้งนี้ รูปแบบการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับไทยของคนเวียดนาม เปลี่ยนรูปแบบจากสายเดี่ยวที่กำหนดโดยรัฐ ไปสู่การขยายพื้นที่ในมิติอื่นๆ นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว นักศึกษา แรงงาน มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ตรงในไทยเอง บางคนอาจมีเพื่อนเป็นคนไทย ใช้สินค้าหรือบริการไทย ดูภาพยนตร์หรือฟังเพลงไทย ทำให้เห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น
เมื่อสอบถามชาวเวียดนาม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษา กลุ่มแรงงาน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจ ว่าเมื่อนึกถึงไทยจะนึกถึงอะไร คำตอบที่ได้รับจากทั้ง 3 กลุ่มใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะอันดับแรก คือนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวของไทย ชาวเวียดนามบางคนถึงขนาดบอกเลยว่า “มาไทย 1 วัน ฉลาดขึ้นเป็นกระบุง” สำหรับเรื่องอื่นๆ ที่นึกถึง เช่น วัฒนธรรม อาหาร การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ
ปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามดีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อนาคตไทยยังต้องเลือกวางบทบาทตัวเองให้ดีเกี่ยวกับคานอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับเวียดนาม
เมื่อไม่นานมานี้ มีการพาดหัวในหนังสือพิมพ์เวียดนามเลยว่า ไทยช่วยจีนกรณีทะเลจีนใต้ สะท้อนให้เห็นว่าเขาอาจจะไม่ชอบที่เราแสดงท่าทีต่อจีนในลักษณะนั้น ต่อจากนี้ เราจึงควรเลือกแสดงท่าทีและจุดยืนอย่างเหมาะสม รักษาสัมพันธ์อันดีเอาไว้”


