โลกแห่งสีสัน
สิ่งที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวเราทุกวันนี้ ล้วนเต็มไปด้วยวัตถุหลากหลายสีสันตระการตาที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว
สิ่งที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวเราทุกวันนี้ ล้วนเต็มไปด้วยวัตถุหลากหลายสีสันตระการตาที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว
กลายเป็นอาหารตาที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้แก่ชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความสับสนอลหม่าน เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสีสันบนโลกใบนี้ล้วนมีส่วนช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางอารมณ์ได้อย่างน่าอภิรมย์ แน่นอนว่ารสนิยมและมุมมองที่มีต่อสีสันของมนุษย์ในแต่ละชนชาติย่อมแตกต่างกันไปตามความเป็นมาทางสังคม ธรรมเนียมปฏิบัติและคติความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ สีสันที่ว่าดีว่างามของชนชาติหนึ่ง อาจไม่ใช่สีที่เป็นมงคลของชนชาติอื่นก็เป็นได้
วันนี้เราลองมาดูความรู้สึกที่มีต่อสีบางสีในสายตาของชาวจีนกัน
สีแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ สีเหลืองในฐานะที่เป็นสีที่มีความสว่างไสวและเจิดจรัส ที่สำคัญเป็นสีที่บ่งบอกถึงความเป็นกษัตริย์ในสังคมจีนยุคศักดินาที่กินเวลายาวนานหลายพันปี ด้วยความเชื่อที่ว่าสีเหลืองเป็นสีแห่งบารมีและความสูงส่ง ลองสังเกตดูสีของกระเบื้องเคลือบมุงหลังคาบนสิ่งปลูกสร้างภายในพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่งจะพบว่ามีสีเหลืองอร่ามเป็นสีหลัก จึงไม่แปลกที่สีเหลืองจะเป็นสีต้องห้ามที่สงวนไว้สำหรับเจ้าแผ่นดินเท่านั้น หากใครบังอาจสวมใส่ชุดสีเหลืองย่อมมีความหมายเป็นนัยว่าจะช่วงชิงบัลลังก์ มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตกันเลยทีเดียว
ในภายหลัง เมื่ออิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตกเผยแพร่เข้าสู่ประเทศจีน ศัพท์คำว่า “สีเหลือง” ก็เริ่มมีความหมายส่อไปในทางไม่ดี เช่น ภาพยนตร์สีเหลือง หนังสือสีเหลือง ฯลฯ หมายถึงสื่อลามกที่มีภาพหวือหวา ไม่เหมาะที่จะนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยมักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับศัพท์คำว่า “กวาดล้าง” หรือ “ทำลาย” ที่รัฐบาลจีนพยายามกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้หมดไปจากสังคมนั่นเอง
สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นจีนไปแล้วนั้น ถือเป็นสีแห่งมงคล สีแห่งพลัง สีแห่งการปฏิวัติและสีแห่งความชื่นมื่น เราจะพบเห็นสีดังกล่าวตามงานเฉลิมฉลอง งานมงคลสมรส งานเปิดตัวธุรกิจ ฯลฯ สังเกตจากชุดเจ้าสาวที่แดงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ว่าจะเป็นปิ่นปักผมสีแดง ชุดเจ้าสาวสีแดง เกี้ยวเจ้าสาวที่ประดับด้วยผ้าสีแดง ผ้าคลุมสีแดงบนตัวเจ้าบ่าว ชาวจีนจึงเรียกงานแต่งงานว่าเป็น “มงคลสีแดง” หลังจากร่วมหอลงโรงกันจนมีบุตรสืบสกุล ก็มิวายที่จะมอบไข่ย้อมสีแดงให้แก่เด็ก ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวจีนยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมาในหลายท้องที่ ถือเป็นการรับขวัญเด็กเกิดใหม่ให้มีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข
ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เรายังพบเห็นความแดงแผ่รังสีไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นกลอนคู่ที่ติดไว้ตามเสาประตูบ้านทั้งสองข้าง อักษร “บุญวาสนา” กลับหัวบริเวณประตูบ้านที่ถือเคล็ดว่า โชคลาภมาเยือน โคมไฟสีแดง ผ้าห่มสีแดง จุดประทัดแดง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ที่ขาดเสียไม่ได้คือ ซองเงินสีแดงที่เด็กๆ รอคอย หรือก็คือ “อั่งเปา” ใบน้อยๆ ที่มีสินน้ำใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
หลังจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกโค่นล้มลงในปี ค.ศ.1911 ก็เกิดการรวมตัวของกลุ่มคนรักชาติและร่วมกันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น สีแดงเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการปฏิวัติโดยคนกลุ่มนี้ เช่น กองทัพแดง เขตกองทัพแดง ฐานที่มั่นสีแดง เหล่านี้ล้วนหมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 90 ปี
อย่างไรก็ดี ชาวจีนมีข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้สีแดงในการเขียนจดหมายให้ผู้อื่น เพราะแสดงถึงการตัดสัมพันธ์และไม่นิยมเขียนชื่อผู้อื่นด้วยปากกาสีแดงหรือขีดเขียนสัญลักษณ์สีแดงลงบนชื่อของผู้อื่น เนื่องจากในยุคโบราณ เวลาจะประหารชีวิตใคร ก็มักจะทำสัญลักษณ์ด้วยปากกาสีแดงลงบนชื่อของนักโทษผู้นั้น
ส่วนสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาคนทั่วไป และเป็นสีที่หญิงสาวชาวตะวันตกมักสวมใส่ในงานแต่งงาน กลับเป็นสีที่แสดงถึงการไว้อาลัยและความเศร้าโศกในสายตาชาวจีน เราจึงมักพบเห็นสีดังกล่าวในงานศพ ดอกไม้ประดับที่วางไว้หน้าหลุมศพ ผ้าคาดศีรษะไว้ทุกข์ เทียนบนโต๊ะบูชา ผ้าที่มีคำกลอนไว้อาลัยที่พาดอยู่บนผนังทั้งสี่ด้านของงานล้วนเป็นสีขาวทั้งสิ้น ชาวจีนจึงมองว่าสีขาวเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบและเป็นสีแห่งความเศร้าโศก
ศิลปะประจำชาติอย่างอุปรากรปักกิ่งก็มีการวาดลวดลายบนใบหน้าด้วยสีขาวเช่นกัน ตัวละครที่ใช้สีดังกล่าวมักเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและมีพิษสงรอบจัด โกหกปลิ้นปล้อน เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงขุนนางที่ทรยศคิดคด ตัวละครที่จัดอยู่ในประเภทดังกล่าว ได้แก่ โจโฉ จ้าวเกา เหยียนซง ฯลฯ
สีที่ตรงกันข้ามกับสีขาวอย่างสีดำ ถือเป็นสีที่ให้ความรู้สึกอึมครึมและหนักหน่วง แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปย่อมส่งผลต่อมุมมองของชาวจีนกล่าวคือยุคราชวงศ์เซี่ยและราชวงศ์ฉิน (ราว 2,000 กว่าปีก่อน) สีดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นสีแห่งความสูงส่ง ดังนั้น ชุดที่ขุนนางสวมใส่รวมไปถึงธงประจำกองทัพจะใช้สีดำเป็นหลัก การลงโทษของชาวจีนโบราณที่แสดงถึงการดูถูกเหยียดหยามที่มีชื่อเรียกว่า “การลงโทษด้วยหมึกดำ” นั้น ถือเป็นการประจานความผิดให้รับรู้โดยทั่วกัน โดยจะสลักอักษรลงบนหน้าของนักโทษ จากนั้นก็ทาด้วยหมึกสีดำเพื่อให้ติดทนนานโดยไม่มีการลอกออก แม้การลงโทษด้วยวิธีดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปนานแล้ว แต่คำศัพท์ที่เกี่ยวกับการลงโทษในภาษาจีนโดยมากมักมีอักษรคำว่า “ดำ” เป็นส่วนประกอบ ถือเป็นศัพท์ที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้
ตัวละครในอุปรากรปักกิ่งที่วาดลวดลายบนใบหน้าด้วยสีดำ มักแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ที่ซื่อตรง กล้าหาญ และยุติธรรม ขุนนางผู้ผดุงความยุติธรรมที่ได้รับความเลื่อมใสในหมู่ชาวจีนตลอดมาอย่างเปาบุ้นจิ้น ก็ใช้สีดังกล่าวในการวาดลวดลายลงบนใบหน้าเช่นกัน
นอกจากนี้ คำศัพท์ที่ให้ความหมายในเชิงลบ รวมไปถึงการสมรู้ร่วมคิดกันประพฤติไปในทางมิชอบ ก็มักจะมีคำว่า “ดำ” เป็นส่วนประกอบ เช่น สังคมดำ (สังคมมาเฟีย) มือดำ (ขโมย) บัญชีดำ เมืองดำ ขบวนการดำ สินค้าดำ ฯลฯ ล้วนให้ความหมายไม่ดีทั้งสิ้น
สีสุดท้ายที่จะกล่าวถึงก็คือสีแห่งความเขียวชอุ่มอย่างสีเขียว ถือเป็นสีที่สร้างความรู้สึกชื่นมื่นให้แก่ชาวจีนที่ได้สัมผัส แม้แต่ไปรษณีย์ของจีนก็ยังใช้สีเขียวเป็นสีประจำหน่วยงาน ทว่า ในยุคโบราณ สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงชนชั้นล่างทางสังคมอย่างราษฎรทั่วไป ขุนนางระดับล่าง เพชฌฆาต ผู้คุมร้านเหล้าล้วนสวมหมวกสีเขียวทั้งสิ้น ในปัจจุบัน มุมมองของชาวจีนที่มีต่อสีเขียวก็ไม่แตกต่างจากชาติอื่นๆ เพราะต่างมองเป็นภาพของธรรมชาติที่ปราศจากมลพิษ
หากจะสาธยายถึงสีต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกให้หมด คงเป็นเรื่องยาก จึงหยิบยกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ไม่ว่าสีใดๆ ในโลก ขอเพียงชนในชาติที่มีรสนิยมเรื่องสีที่แตกต่างกัน สามารถผสานกันได้อย่างลงตัว รอยยิ้มแห่งความสดใสก็จะเป็นของเราทุกคน


