Netflix ทุ่ม 6 พันล้าน เสริมพลัง "คอนเทนต์ไทย" สู่เวทีโลก
เจาะยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ Netflix ทุ่ม 6.5 พันล้าน หนุนคอนเทนต์ไทยสู่เวทีโลก พร้อมสนับสนุนผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทยเทียบเท่ามาตรฐานสากล
สมรภูมิสตรีมมิงในภูมิภาคเอเชียกำลังร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Netflix ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ ประกาศเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง หลังจากอัดฉีดเม็ดเงินไปแล้วกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 พันล้านบาท) ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตามรายงานจาก Bloomberg
ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของบริษัท แต่ยังเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่า "ประเทศไทยกำลังฉายแววโดดเด่นในฐานะผู้เล่นคนสำคัญของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในภูมิภาค"
ความสำเร็จที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของคอนเทนต์ไทย โดยมีผลงานชูโรงอย่าง ‘สืบสันดาน’ (Master of the House) ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก
ส่งผลให้ยอดการรับชมคอนเทนต์สัญชาติไทยบนแพลตฟอร์มพุ่งทะยานกว่า 750 ล้านชั่วโมงเฉพาะในปีนี้
และดูเหมือนว่า Netflix จะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะได้ประกาศแผนสร้างออริจินัลคอนเทนต์ไทยอีกถึง 9 เรื่องรวดภายในปีเดียว รวมถึง ‘ปากกัด ตีนถีบ’ (Ziam) ภาพยนตร์ซอมบี้ที่หลายคนจับตามอง
ผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Netflix ได้ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทว่า
"เรากำลังเดินหน้าสร้างสรรค์เรื่องเล่าจากฝีมือคนไทย พร้อมกับการลงทุนในประเทศอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศอุตสาหกรรมบันเทิงไทย นี่คือจุดยืนที่แตกต่างของเรา และเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง"
รับยุทธศาสตร์ชาติ ดัน Soft Power ไทย
การลงทุนระลอกใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เป็นผลดีต่อ Netflix เท่านั้น แต่ยังสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลไทยอย่างพอดิบพอดี
ที่ตั้งเป้าสร้างรายได้ 4 ล้านล้านบาท และสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่งจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ
เรียกได้ว่าเป็นการเดินรอยตามความสำเร็จของเกาหลีใต้ ที่นำ 'Soft Power' มาเป็นตัวชูโรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) ยังเป็นแรงจูงใจหลักสำหรับกองถ่ายทำจากทั่วโลก
โดยส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2559 มีโครงการภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในไทยกว่า 4,600 โครงการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่ได้ดึงดูดแค่ Netflix เพียงรายเดียว กองทัพโปรดักชันระดับโลกต่างตบเท้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ดัง ‘The White Lotus’ ซีซั่น 3 ของ HBO ที่ยกกองมาถ่ายทำทั้งหมดในไทย, ‘Jurassic World Rebirth’ ของ Universal หรือแม้แต่ ‘Alien: Earth’ ของ FX ที่ทุบสถิติเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน คู่แข่งอย่าง iQiyi จากจีน และ Max จากค่าย Warner Bros. Discovery ก็ใช้คอนเทนต์ไทยเป็นหมากสำคัญในการเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน
กรณีของ Max ที่เปิดตัวพร้อมกับการมาของ ‘The White Lotus’ ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะไม่เพียงแต่จะดึงดูดสมาชิกใหม่ได้มหาศาล แต่ยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยไปในตัว
ล่าสุดเมื่อวันอังคาร คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้อนุมัติมาตรการคืนเงินจำนวน 845 ล้านบาท ให้กับกองถ่ายต่างประเทศ 7 เรื่อง ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนในประเทศรวมกันถึง 4.5 พันล้านบาท
โดยนายชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เปิดเผยว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว กองถ่ายต่างประเทศสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจไทยโดยตรงถึง 6.6 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็ได้เพิ่มงบประมาณสนับสนุนการผลิตผลงานในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ภาพยนตร์และซีรีส์ไทยได้ไปปรากฏตัวบนเวทีเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติและแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
"การที่ประเทศไทยเป็นที่รู้จักและปรากฏสู่สายตาชาวโลกมากขึ้น ยังช่วยส่งเสริมทั้งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเพิ่มความต้องการสินค้าไทย สร้างรายได้กลับเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องกว่า 3 แสนล้านบาท" นายจักรินทร์กล่าวทิ้งท้าย


