posttoday

มธ. จี้รัฐบาล เร่งเปิด "เจรจาสันติภาพ" ดับไฟใต้ ก่อนปะทุรอบใหม่

06 พฤษภาคม 2568

ไฟใต้ปะทุซ้ำ! นักวิชาการมธ. ชี้เหตุจาก 'เจรจาสันติภาพ' ชะงักมาเกือบปี ย้ำ สถิติ Deep South Watch เจรจา 'ลดเหตุรุนแรงได้จริง' จี้รัฐเร่งเปิดโต๊ะคุย อย่าอ้างรอ 'ตัวจริง'

ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ที่กลับมาปะทุอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า

 

หนึ่งในต้นเหตุสำคัญอาจมาจากการ ‘หยุดชะงัก’ ของกระบวนการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหา นั่นคือ ‘การเจรจาสันติภาพ’ ซึ่งหยุดนิ่งมาเกือบ 1 ปีแล้ว

 

และนี่คือสิ่งที่สถิติบอกเรา...

 

ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.

 

ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ. ชี้ว่า ข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ยืนยันชัดเจนว่า นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพในปี 2556 เป็นต้นมา สถิติเหตุการณ์ความไม่สงบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะการเจรจาได้สร้าง ‘พื้นที่’ ให้คู่ขัดแย้งได้พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล และที่สำคัญคือได้มีส่วนในการ ‘สร้างความไว้วางใจ’ ต่อกัน

 

ซึ่งทั้งหมดนี้คือกลไกสำคัญในการ ‘ป้องกันความรุนแรง’ ไม่ให้เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดทอนระดับความรุนแรงลงได้จริง

 

ดร.ชญานิษฐ์ มองว่า การที่กระบวนการนี้ต้องหยุดชะงักไปเกือบ 1 ปี อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงกลับมาปะทุขึ้นในระยะนี้

 

ประเด็นน่ากังวลอีกข้อ ดร.ชญานิษฐ์ กล่าวถึงท่าทีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่เคยระบุว่า “เราจะไม่คุย ถ้าไม่ใช่ตัวจริง” ซึ่งอาจเป็นการสร้างเงื่อนไขในการพูดคุยสันติภาพที่น่ากังวล

 

มธ. จี้รัฐบาล เร่งเปิด "เจรจาสันติภาพ" ดับไฟใต้ ก่อนปะทุรอบใหม่

คำถามคือ ถ้าไม่เริ่มคุย จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือ ‘ตัวจริง’ หรือไม่?

 

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาที่เราทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไมรัฐไทยยังไม่สามารถระบุ ‘ตัวจริง’ ได้เสียที? การตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ อาจเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้ากระบวนการที่สถิติบอกว่าได้ผลจริง

 

นักวิชาการธรรมศาสตร์รายนี้ ย้ำว่า ในสถานการณ์ที่ความรุนแรงปะทุขึ้น หากกระบวนการพูดคุยยังหยุดนิ่ง อาจตีความได้ว่าทั้งรัฐบาลไทยและขบวนการติดอาวุธ ‘ขาดเจตจำนง’ ที่จะสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง

 

และผลลัพธ์ที่ตามมาคือการ ‘สูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง’ หรือ ‘ต้นทุนทางความน่าเชื่อถือ’ ของทั้งสองฝ่าย เพราะสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งชาวมลายูและชาวไทยพุทธ ต่างต้องการและประสานเสียง คือ ‘การพูดคุย’

 

ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเครือข่ายวิชาการ PEACE SURVEY ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 จนถึง พ.ศ.2566 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ซึ่งเก็บข้อมูลจากประชาชนกว่า 10,581 คน ในพื้นที่ ยืนยันตรงกันทุกครั้งว่า

 

ประชาชน ‘สนับสนุน’ ให้ใช้การพูดคุยสันติภาพเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหาความรุนแรง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เสียงสนับสนุนน้อยกว่าร้อยละ 55

 

นั่นแปลว่า การเจรจาคือ ‘ความต้องการ’ ของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ดังนั้น การพูดคุยยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น

 

มธ. จี้รัฐบาล เร่งเปิด "เจรจาสันติภาพ" ดับไฟใต้ ก่อนปะทุรอบใหม่

เหตุการณ์ความรุนแรงที่พุ่งเป้าไปที่พลเรือนในช่วงที่ผ่านมา จนมีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อย ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง แม้บางฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจเป็นการกระทำจากขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN)

 

แต่ล่าสุด BRN ก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงเสียใจต่อเหตุรุนแรงและยืนยันไม่มุ่งเป้าพลเรือน

 

ดร.ชญานิษฐ์ ย้ำว่า แม้ความรุนแรงในปี 2547 อาจเข้าใจได้จากบริบททางประวัติศาสตร์และความรู้สึกที่ได้รับการกดขี่ แต่ ‘ไม่มีเป้าหมายใดสูงส่งพอ’ ที่จะอนุญาตให้ทำร้ายคนชรา เด็ก หรือผู้พิการได้

 

การกระทำรุนแรงต่อพลเรือนเช่นนี้ ไม่ว่าใครทำ ย่อมส่งผลให้ ‘ขบวนการ’ หรือผู้กระทำ ‘สูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง’ ไปอย่างมหาศาล ซึ่งถือเป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองที่สำคัญ

 

อีกประเด็นน่ากังวลที่มาพร้อมกับสถานการณ์รุนแรงคือ ‘กระแสการเหมารวม’ และ ‘ความเกลียดชัง’ ต่อชาวมุสลิมในพื้นที่ ซึ่งเรียกร้องให้รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามแบบ ‘ไม่แยกแยะเป้าหมาย’

 

อารมณ์โกรธแค้นนี้ อาจทำให้สังคมหลงลืมข้อเท็จจริงสำคัญไปว่า การมีอัตลักษณ์มลายูหรือนับถือศาสนาอิสลาม ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นจะต้องเห็นด้วยหรือสนับสนุนขบวนการติดอาวุธเสมอไป

 

ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากผู้คนในพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการแค่ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสงบสุข การเหมารวมและโหมกระแสความเกลียดชังเช่นนี้ น่าจะยิ่งส่งผลให้ ‘สันติภาพ’ ยิ่งห่างไกลออกไปอีก

 

สรุปแล้ว: สถิติจากหลายแหล่งชี้ตรงกันว่า การเจรจาสันติภาพคือกลไกที่ช่วยลดความรุนแรงได้จริง การหยุดชะงักของกระบวนการนี้กำลังส่งสัญญาณอันตราย และยิ่งไปกว่านั้น การที่รัฐบาลลังเลที่จะเริ่มคุย โดยอ้างเรื่อง ‘ตัวจริง’ หรือการที่สังคมเกิดกระแสเหมารวม อาจกำลังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางเส้นทางสู่สันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้

 

ในมุมมองของนักวิชาการ สถิติและเสียงของประชาชนชัดเจนแล้วว่า ‘การลงทุน’ ในการเจรจาคือสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำอย่างไม่มีข้อแม้ หากหวังจะดับไฟใต้ให้สำเร็จอย่างยั่งยืน.

 

ข่าวล่าสุด

สัญญาณเตือนฮิวแมนนอยด์ แนวโน้มฟองสบู่หุ่นยนต์อาจกำลังมา