posttoday

แบงก์เด่นดอกเบี้ยขาขึ้น

26 สิงหาคม 2553

หุ้นปรับฐานเป็นจังหวะช้อน ดอกเบี้ยขาขึ้น-ค่าเงินบาทแข็ง ภัทร เชียร์กลุ่มธนาคารเน้น KBANK-BBL กลุ่มเหล็กคึกราคาขายขยับ ต้นทุนนำเข้าลด

หุ้นปรับฐานเป็นจังหวะช้อน ดอกเบี้ยขาขึ้น-ค่าเงินบาทแข็ง ภัทร เชียร์กลุ่มธนาคารเน้น KBANK-BBL กลุ่มเหล็กคึกราคาขายขยับ ต้นทุนนำเข้าลด

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร หรืออาร์/พี ประเภท 1 วัน อีก 0.25% เป็น 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด

นักวิเคราะห์ บล.ภัทร มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังประกาศผลการดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ และคาดว่านับตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้จนถึงปีหน้าสินเชื่อจะเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนวโน้มดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และการกันสำรองที่ลดลง

ทั้งนี้ สินเชื่อที่ฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งแรกปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากการฟื้นตัวของธุรกิจรายใหญ่ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และธุรกิจรายย่อยยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

บล.ภัทร คาดว่าธนาคารขนาดใหญ่จะได้ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยจะถูกกดดัน และคาดว่าธนาคารจะกันสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น้อยลง

นอกจากนั้น ได้แนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK)

ด้านมาร์เก็ตติง กล่าวว่า แนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่าเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและในตลาดตราสารหนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็ก เพราะต้นทุนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน และขณะนี้ราคาเหล็กก็ปรับตัวขึ้นเนื่อง น่าจะทำให้กำไรในไตรมาส 3 และ 4 ดียิ่งขึ้น

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในช่วงนี้จะเห็นว่านักลงทุนให้ความสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็ก ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้น นำโดยบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) และบริษัทจีสตีล (GSTEEL) และเชื่อว่าราคายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง 6 เดือน-1 ปี ให้นักลงทุนลดพอร์ตการถือหุ้นลงเหลือเพียง 30% และถือเงินสด 70% หลังตลาดหุ้นพักฐานตามตลาดหุ้นเอเชีย จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังกดดันตลาดหุ้นไทย

“ตอนนี้ขอให้ถือเงินสดรอซื้อเมื่อดัชนีหุ้นปรับฐานแรงๆ คาดแนวรับอยู่ที่ 850-875 จุด เมื่อถึงแล้วค่อยเข้าไปซื้อหุ้น” นายจักรกริช กล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนคือกลุ่มที่กำลังรอข่าวดี เช่น จากมาบตาพุด กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี อาทิ บริษัท ปตท. (PTT) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) กรณีการประมูล 3จี หุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งน่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่อย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็น่าสนใจจากการขยายตัวของสินเชื่อและดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ซึ่งโกลเบล็กแนะนำหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ KBANK|ส่วนหุ้นรับเหมาก่อสร้างแนะนำลงทุนหุ้นบริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL) บริษัท ซิโน-ไทยเอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ยังคงปรับฐานเช่นเดียวกับภูมิภาค และระหว่างวันดัชนีบวกกว่า6 จุด ก่อนปิดที่ 884.51 จุด ติดลบ 5.94 จุด ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายหนาตา 49,390 ล้านบาท โดยต่างชาติกลับมาขาย 511 ล้านบาท