posttoday

ประเมินหากน้ำมันแรงเกิน6เดือน ฉุดศก.ไทยโตไม่ถึง3%

13 มีนาคม 2565

Krungthai COMPASS ประเมินหากน้ำมันแรงเกิน 6 เดือน จะฉุดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่ถึง3%

Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อหนุนให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงเกิน 100 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน มี.ค. เพียง 1 เดือน ก่อนที่สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียงกับมุมมองเดิมที่ 3.8%

หากสถานการณ์ยืดเยื้อ หนุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงต่อเนื่องไปจนถึงเดือน มิ.ย.-ก.ค. อาจทำให้เศรษฐกิจปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 3%

แต่หากลากยาวถึง 6 เดือนหลังจากนี้ โอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 3% ค่อนข้างสูง

ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงยาวนานตามการส่งผ่านราคาเชื้อเพลิงในประเทศที่อยู่ในระดับสูงต่อไปเพื่อชดเชยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงที่ผ่านมา ราคาพลังงานเคลื่อนไหวปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และด้วยแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็ยิ่งทำให้ราคาพลังงานดีดตัวสูงขึ้นและผันผวนอย่างมาก ซึ่งสวนทางกับเครื่องมือในการประคองระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมที่มีข้อจำกัดมากขึ้นจากฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันที่ติดลบถึง 2.4 หมื่นล้านบาท (ณ วันที่ 6 มี.ค.) ทำให้ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการจัดหาเงินกู้อีกอย่างน้อย 2 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนและเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ควบคู่กับการลดภาษีสรรพสามิต)

ดังนั้น หากราคาพลังงานในตลาดโลกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศก็จะยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อไป เพื่อนำส่วนต่างที่ได้มาชำระหนี้เงินกู้และชดเชยเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่หายไปในช่วงที่ผ่านมา

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ธุรกิจหลายสาขาทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ขนส่ง ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานในสัดส่วนที่สูง ตามการวิเคราะห์ต้นทุนผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output) ปี 2015 (รูปที่ 11) ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กินระยะเวลานานยาวขึ้นตามแต่ละกรณี ยิ่งจะทำให้ภาคธุรกิจแบกรับต้นทุนนานขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการลดลง ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจมีแนวโน้มผลักภาระมายังผู้บริโภคมากขึ้นตามไปด้วย