posttoday

‘พลอยนุ่น’ ซุป’ตาร์ว่าที่นักลงทุน !

18 เมษายน 2555

“ดารา-นักแสดง” เป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน เงินทองได้มาเร็ว ไปเร็ว มักไม่ค่อยเห็นค่า กว่าจะรู้ตัวอีกตัว ผ่านไป 10 ปี ก็ช่วงขาลงซะแล้ว

โดย...มีนา

“ดารา-นักแสดง” เป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน เงินทองได้มาเร็ว ไปเร็ว มักไม่ค่อยเห็นค่า กว่าจะรู้ตัวอีกตัว ผ่านไป 10 ปี ก็ช่วงขาลงซะแล้ว ดังนั้น ดารานักแสดงยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลมักมีความสุขกับการทำเงินให้งอกเงย ด้วยการเลือกลงทุน ฝากเงินในธนาคาร หรือซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อเก็งกำไร บางคนรอบคอบขนาดต้องมีที่ปรึกษาด้านการลงทุนกันเลยทีเดียว เพื่อการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ยิ่งช่วงนี้มีการลงทุนหลากหลายรูปแบบ ทั้งนำเงินไปเล่นหุ้น ลงทุนในทองคำที่มีความเสี่ยงน้อย

หนึ่งในที่ปรึกษาด้านการลงทุนทองคำ รุ่งนภา อัตถจริยา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บิสิเนส ดีวีลอปเมนท์ Ausiris Group บอกว่า ปัจจุบันกลุ่มดารา-นักแสดงหันมาลงทุนในทองคำกันบ้างแล้ว แต่ไม่มาก เพราะจำนวนนักแสดงนั้นเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ เนื่องจากอาชีพนักแสดงทำงานไม่เป็นเวลา เรื่องการติดตามการขึ้นลงของราคาทองอาจไม่กระชั้นเหมือนนักลงทุนทั่วไป ดาราบางกลุ่มจึงเลือกเก็บสะสมเงินซื้อทองคำไปเรื่อยๆ อาทิ ออมเดือนละ 5,000 บาท ออมทุกๆ เดือน เป็นเวลา 2 ปี บริษัทจะค่อยๆ นำเงินไปซื้อทองคำในทุกๆ เดือน ซึ่งราคาทองคำขึ้นลงทุกวัน ดังนั้นค่าเฉลี่ยทองคำไปเรื่อยๆ สะสมทองคำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกค้าถอน การลงทุนในทองคำจึงเหมาะกับการออมที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก โปรแกรมออมทองแบบนี้จึงเหมาะกับนักแสดง

“ดิฉันมองว่า ดารารุ่นใหม่ๆ มีมุมมองต่อโลกมากขึ้น มีความทันสนมัย เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น ซื้อคอนโดมิเนียม ถ้าเขาเริ่มบริหารเงินตั้งแต่วันนี้ พออายุ 40 ปี ก็จะมีเงินและสินทรัพย์มากมาย ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีช่องทางเก็บเงินเยอะมาก โดยเฉพาะดาราสมัยนี้ตื่นตัวด้านการออมกันมาก” ที่ปรึกษาด้านการลงทุนให้ทัศนะ

อย่างไรก็ดี ลองไปดูสไตล์การเก็บเงินและวิธีทำเงินให้งอกเงยของเหล่านักแสดงระดับซุป’ตาร์เมืองไทย นักแสดงหญิงที่ได้ตำแหน่งนักแสดงที่มีค่าตัวแพงที่สุดติดอันดับ 2 ใน 10 ได้แก่ พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และคุณนาย นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี

‘พลอยนุ่น’ ซุป’ตาร์ว่าที่นักลงทุน !

กว่าจะเป็นซุป’ตาร์ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลายคนให้ฉายานักแสดงสาว “พลอย” ว่าเป็นซุป’ตาร์ขาวีน ความที่เธอเป็นคนตรง ทำงานทุ่มเท ผลงานด้านการแสดงก็แซ่บเว่อร์ ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงเกินร้อย จนเธอสามารถครองระดับค่าตัวในการเล่นละครต่อตอนถึงประมาณ 7.5 หมื่นบาทต่อตอน ค่าตัวออกงานอีเวนต์เฉลี่ย 1 แสนบาทขาดตัวต่อครั้ง ค่าถ่ายโฆษณาและพรีเซนเตอร์ประมาณ 6.5 ล้านบาทต่อชิ้น ถึงกระนั้นพลอยก็ปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่ซุป’ตาร์ แม้จะโลดแล่นในวงการบันเทิงนานถึง 17 ปีแล้วก็ตาม ปัจจุบันเธอมีผลงานเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณามากถึง 8 ชิ้นทีเดียว

“การที่พลอยก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงแถวหน้าได้ จริงๆ แล้วพลอยรู้ว่าไม่ใช่เพราะคนชอบเรา แต่คงชอบที่ผลงาน พลอยอยู่ในวงการบันเทิงมา 17 ปี กว่าจะอยู่ได้ถึงวันนี้มันก็ยาก แต่ต้องมองที่เจตนาที่พลอยอยู่ในวงการบันเทิงเพื่ออะไร พลอยเข้ามาตอนเด็กๆ เริ่มจากถ่ายโฆษณาก่อน ตอนนั้นก็ยังไม่ชอบ แต่โตมาก็รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร พลอยพยายามทำงานของตัวเองให้ดีและตั้งใจ

เมื่อก่อนพลอยเป็นเด็กไม่มีค่าย ไม่มีแบ็กอัพ ไม่มีใครสนับสนุนเลย คนที่จะมีโอกาสเล่นละครได้รับบทที่ดี ได้เป็นนางเอกมันยาก เพราะไม่มีผู้ใหญ่สนับสนุน เราก็ต้องทำด้วยฝีมือเท่านั้น ต้องฝึกปรือ อย่างพลอยไม่ได้ดังด้วยกระแส พลอยดังด้วยเรื่องผลงานที่มีต่อๆ กันมา เพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเรามีความตั้งใจในการทำงาน รับผิดชอบ มากองตรงเวลา เพราะพลอยทำอะไรแล้วก็ตั้งใจ พลอยเข้าใจว่าตัวเองก็ไม่ใช่เด็กดีอะไรมาก ตอนเด็กๆ ก็มีออกนอกลู่นอกทางบ้าง ดื้อกับแม่ แต่พลอยรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน กตัญญูต่อบุพการี พลอยเชื่อว่าความไม่สมบูรณ์แบบ คือความสมบูรณ์แบบแล้ว”

‘พลอยนุ่น’ ซุป’ตาร์ว่าที่นักลงทุน !

 

สนใจทำเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

พลอยปฏิเสธว่าแม้จะดังเข้าขั้นซุป’ตาร์ แต่ค่าตัวก็ยังไม่เท่านักแสดงเบอร์หนึ่ง อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ แต่ก็มีผลงานเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาถึง 8 ชิ้น แม้เงินจะไหลมาเทมา แต่พลอยมีหลักในการบริหารเงินง่ายๆ คือ ให้คุณแม่เก็บเงินสดไว้แล้วเอาไปเข้าธนาคาร ส่วนพลอยจะมีเครดิตการ์ดไว้ใช้ แต่ก็มีลิมิต

“พลอยไม่ค่อยซื้อของ แต่จะหมดไปกับค่าน้ำมันรถเยอะ เพราะต้องเดินทาง พลอยมอบหมายให้คุณแม่ดูแลด้านการเงิน รับเงินทั้งหมด เวลานี้ถ้าพลอยอยากได้อะไร พลอยจะขอแม่ซื้อ แต่แม่ก็รู้ว่าพลอยไม่ค่อยฟุ่มเฟือย อยู่แบบพอดีๆ ในวงการบันเทิงต้องแต่งตัวบ้าง ก็แต่งตัวพอดีๆ แต่งตัวดูสวย แม่จะเตือนเสมอว่าอย่าฟุ่มเฟือยมาก พลอยชอบเก็บเงินไปเรื่อยๆ เสียภาษีก็เยอะ แต่พลอยจะเน้นหนักคือ ไม่ลงทุนมาก เก็บเข้าธนาคารเป็นเงินเก็บเอาไว้ แล้วก็ไม่ลงทุนซื้อทอง

แต่จริงๆ ก็สนใจด้านการลงทุนบ้าง เช่น ซื้อคอนโดมิเนียมที่สุขุมวิท 24 เก็บเอาไว้ ทั้งให้เช่าต่อได้และอยู่เองก็ได้ ตอนนี้กำไร 5 ล้านบาทแล้ว ถ้าจะขายก็ขายได้ จริงๆ ครอบครัวพลอยมีอพาร์ตเมนต์ที่สุขุมวิท 22 แต่ตอนนี้รอลงทุนด้วยการรีโนเวตใหม่ทั้งหมด ต้องทุบทั้งตึกทิ้งและสร้างใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ เป็นอพาร์ตเมนต์เก่าตั้งแต่ยุค 1980 โบราณมาก ที่ผืนนี้เป็นมรดกจากคุณตา พอคุณตาเสียก็มอบให้คุณแม่ พลอยอาจจะทำเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ให้ชาวต่างชาติเช่า เพราะซอยนั้นชาวต่างชาติอยู่เยอะ กะจะทำแบบฮิปโฮเต็ล หรือบูติกโฮเต็ลเท่ๆ แต่ต้องใช้เงินเยอะ ก็คุยกับแม่อยู่ ลงทุนไม่น่าจะถึงหลัก 100 ล้าน”

‘พลอยนุ่น’ ซุป’ตาร์ว่าที่นักลงทุน !


ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ซุป’ตาร์ติดอันดับค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 6 นุ่น วรนุช ค่าตัวในการเล่นละครประมาณ 8 หมื่นบาทต่อตอน ค่าตัวในการปรากฏกายในงานอีเวนต์ประมาณ 9 หมื่นบาทต่อครั้ง และค่าถ่ายโฆษณาและพรีเซนเตอร์สินค้าประมาณ 5.5 ล้านบาทต่อชิ้น นอกจากอาชีพนักแสดงที่หายไปพักหนึ่ง เธอยังมีธุรกิจที่ต้องดูแล

ล่าสุดเธอนั่งบริหารในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวลฟ์ เอสเตท บริหารคอนโดมิเนียมขนาดกลางย่านลาดพร้าว ชื่อ เดอะพีซ และยังทำธุรกิจอีก 2 ชิ้น ได้แก่ โรงเรียนนาฏศิลป์ชื่อ โรงเรียนนาฏก และเปิดร้านส้มตำ แสนแซ่บ ซึ่งในไม่ช้าอาจขยายสาขาเพิ่ม

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปได้ดี นุ่นเล่าว่า การเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวครั้งแรกเกิดจากความชอบ จึงเปิดโรงเรียนนาฏศิลป์ แม้เป็นธุรกิจเล็กแต่ก็ทำได้เรื่อยๆ สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียมก็ประสบความสำเร็จ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจคอนโดมิเนียมเลยก็ตาม

“ตอนซื้อที่ดินก็ซื้อแบบเงินสด ได้มาตอนเศรษฐกิจขาลง ที่ดินก็ขายราคาถูก แต่ก่อนหน้านี้ก็เก็บเงินด้วยการซื้อทองคำเก็บไว้ จริงๆ นุ่นไม่มีความรู้ด้านการบริหารเงินเลย แต่โชคดีที่ได้คำปรึกษาของพี่ๆ ต่างๆ ที่มีความรู้ทางการลงทุนมาแนะนำ การสร้างคอนโดมิเนียมครั้งนี้ นุ่นอยู่เองด้วย ซึ่งแตกต่างจากโครงการใหญ่ๆ ที่เจ้าของไม่ได้อยู่เอง จึงขาดการดูแลเอาใจใส่ ทั้งสภาพแวดล้อมและบริการ แต่นุ่นอยู่ด้วย ทุกอย่างทั้งการก่อสร้าง วัสดุ เราจึงเลือกของดี และโครงสร้างของห้องก็แข็งแรง คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ลูกค้าจึงให้การตอบรับดีมาก

นุ่นมองว่าการลงทุนทำธุรกิจต้องทำด้วยตัวเอง ดูแลโครงสร้างการก่อสร้างเอง จึงอาจรู้สึกเหนื่อย คอนเซปต์ทำธุรกิจของนุ่นคือ ทำเล็กๆ จำนวนยูนิตไม่มาก ซึ่งการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมีส่วนช่วยในเรื่องแบรนดิง แต่ไม่มีผลในทางการขาย ซึ่งไม่สามารถสู้บริษัทรายใหญ่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น เราจึงใช้เรื่องไดเรกต์เซลส์มาเน้นจุดขาย”

นุ่น กล่าวต่อว่า การเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ มีข้อเสียเปรียบผู้ประกอบการรายใหญ่ในเรื่องของแบรนด์ ดังนั้น เธอจึงชูจุดขายในเรื่องการสร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นของจริงว่าโครงการสามารถพัฒนาไปได้ดี และที่ผ่านมาเมื่อลูกค้าเห็นห้องตัวอย่างจะตัดสินใจซื้อทันที

ในอนาคตหากมีโอกาสพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็น 2 ปีต่อโครงการ โดยเน้นโครงการเล็กๆ ก่อน ขณะนี้นุ่นได้มองหาที่ดินย่านบางบัวทองและลำลูกกา คลอง 1-2 เอาไว้ ซึ่งจะใช้ที่ดินประมาณ 1-2 ไร่ครึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และคงเป็นการใช้แบรนด์ใหม่ แต่ขออุบไว้ก่อน (ค่ะ)