posttoday

เป้าหมายชีวิตที่สมดุล รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์

07 พฤศจิกายน 2560

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ แพทย์ชำนาญพิเศษ โรคปอดและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาฯ

 

 

เราอาจคุ้นหน้าคุ้นตาชายผู้นี้เป็นอย่างดี ผู้ที่ละม้ายคล้ายอดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี เขาคือ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ แพทย์ชำนาญพิเศษ โรคปอดและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาฯ พี่น้องฝาแฝดของ รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คนหนึ่งเลือกเส้นทางช่วยเหลือประชาชนด้วยเส้นทางด้านการเมือง อีกคนหนึ่งเลือกช่วยเหลือผู้คนด้วยวิชาด้านการแพทย์ ด้วยใจที่มุ่งมั่นไม่แพ้กัน

“ผมบอกตามตรงว่าก่อนที่จะเลือกเส้นทางการเป็นแพทย์นั้น ผมมีความรู้เรื่องแพทย์น้อยมาก แม้จะมีญาติที่เป็นหมอ ก็คือ คุณอา แต่ว่าต้องบอกตามตรงว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเป็นหมอ หรือมีประสบการณ์พบเห็นในโรงพยาบาลนั้นไม่มี เรารู้เพียงผิวเผินเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไปที่เขารู้กัน

อีกอย่างในสมัยนั้นตัวเลือกยังไม่ได้มีอะไรมากนัก ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่มีตัวเลือกมากมาย มีแหล่งค้นคว้าหาข้อมูลว่าแต่ละสาขาสามารถทำงานอะไรได้บ้าง เราก็เลือกตามสมัยนิยม แพทย์ วิศวะ นิเทศศาสตร์ ที่คิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเรา ตัวผมก็เลยเลือกที่จะเรียนแพทย์ ตั้งแต่นั้นมาก็เข้าเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์

ตอนที่เรียนผมยังไม่ได้คิดว่าจบแล้วจะต้องเป็นหมอทางด้านไหนเป็นพิเศษ หรือเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นหมอเกี่ยวกับเรื่องโรคปอดและหลอดลม

รู้แต่ว่าเราเข้าไปเรียนแล้วเราไม่ชอบเรื่องของการผ่าตัด ไม่ชอบที่จะอยู่ในห้องผ่าตัดที่ใช้เวลานานหลายๆ ชั่วโมง เราชอบที่จะใช้ยาในการรักษาโรคมากกว่า ก็อาจจะมีการผ่าตัดบ้างก็เพียงเล็กน้อยเป็นการผ่าตัดที่ใช้เวลาไม่มากนัก” นพ.ฉันชาย เล่าถึงเส้นทางการเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านปอดและทรวงอก ในงาน วันปอดบวมโลก จัดโดยบริษัท ไฟเซอร์ ณ ลานอีเดน เซ็นทรัลเวิลด์

หลังเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอก ที่สหรัฐอเมริกาก่อน 

ในช่วงเวลานั้นฉันชายก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าชอบที่จะได้ดูแลผู้ป่วย เฉพาะทางโรคปอดและทรวงอก จึงเดินทางไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับครอบครัว จนกระทั่งตำแหน่งอาจารย์แพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่างลง จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อที่จะได้ทำงานรักษาคนไข้ ไปพร้อมๆ กับงานสอนหนังสือ

 

เป้าหมายชีวิตที่สมดุล รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์

 

 

ฉันชาย เล่าถึงงานของเขาต่อว่า “สาเหตุที่ผมเลือกด้านปอดและทรวงอก ก็เพราะว่าโรคปอดติดเชื้อ เช่น โรคปอดบวม วัณโรค ติด 1 ใน 5 ของโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด ซึ่งที่เหลือจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกาย ที่ผ่านมาสถิติจำนวนผู้ป่วยโรคปอดติดเชื้อไม่ได้สูงขึ้นแต่ก็ไม่ได้ลดลงเลย ยังคงที่โดยตลอด

ปัจจัยของการป่วยเป็นโรคปอดมีอยู่ 2 สาเหตุ ก็คือ เกิดจากสภาพแวดล้อม และการได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ปอดที่เกิดจากสภาวะแวดล้อม ก็อย่างเช่นได้รับมลพิษทางอากาศจากท้องถนน หรือจากการสูบบุหรี่ รับสารพิษเข้าปอดของเราโดยตรง ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันในปอดของเราลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ก็จะมีอัตราการเสี่ยงจากการเสียชีวิตสูงมากขึ้นได้ด้วย

ไม่เพียงแค่ผู้ที่สูบบุหรี่จะป่วยอย่างเดียว ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง อย่างเช่นคนใกล้ชิดรอบข้าง คนในครอบครัวของเราก็ได้รับสารพิษนี้ไปด้วย เราพบว่ามีเด็กหลายคนที่เข้ามารักษาตัวจากอาการป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ เมื่อเราซักถามประวัติ ก็พบว่ามีคนในครอบครัวที่สูบบุหรี่ ทำให้เด็กได้รับควันบุหรี่มือสองนี้เข้าไปด้วย โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด และเด็กมีภูมิต้านทานป้องกันเชื้อโรคแล้วก็พิษต่างๆ ได้น้อยกว่าผู้ใหญ่จึงป่วยได้ง่ายกว่า

ในปัจจุบันมีความนิยมในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นกระแสความนิยมในหลายๆ ด้าน และยังมีความเห็นขัดแย้ง ส่วนหนึ่งบอกว่าช่วยทำให้เลิกบุหรี่ได้เร็วขึ้น แต่ในอีกกระแสหนึ่งก็บอกว่าถ้าจะเลิกบุหรี่ก็คือเลี่ยงไม่สูบบุหรี่จะดีกว่าไหม เพราะสุดท้ายแล้วการสูบปอดก็ได้รับสารนิโคตินเหมือนกัน ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้านี้เป็นของใหม่ที่ยังไม่มีงานวิจัยมารองรับหรือยืนยันได้ว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงจะดีกว่า”

คุณหมอที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี บอกกับเราอีกว่า เป้าหมายในชีวิตของเขาอย่างหนึ่ง ก็คือ การได้เป็นผู้เชี่ยวชาญและนำความรู้นั้นมาช่วยเหลือคนอื่นๆ ซึ่งการได้เป็นหมอและอาจารย์หมอก็เรียกได้ว่าถึงเป้าหมายนั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการตั้งเป้าหมายในชีวิตอย่างเดียวก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าจะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น

“ผมตั้งเป้าในชีวิตหลายด้านที่จะต้องทำให้สำเร็จ เพราะว่าชีวิตของคนเราต้องการความสมดุล ถ้าเกิดเราตั้งเป้าอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเรามุ่งไปทางนั้นทางเดียวโดยไม่สนใจสิ่งดีๆ ที่อยู่รอบข้างนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ในเรื่องหน้าที่การงาน คือ ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องตั้งเป้าเป็นแพทย์ที่สามารถช่วยเหลือคนไข้ให้มีสุขภาพดีๆ ให้หายจากการเจ็บป่วย

เป้าหมายในการใช้ชีวิตครอบครัวเรา ผมก็มีเป้าหมายว่าเราจะพาชีวิตครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้แบบไหน แบ่งเวลาให้กับครอบครัวอย่างไร หรือเราอาจจะมีเป้าหมายด้านอื่นๆ ที่สำคัญกับชีวิต ก็พยายามใช้เวลาทำให้สิ่งนั้นสำเร็จ ช่วยเหลือคนเรา ฉะนั้นชีวิตจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่เราจะต้องใช้ความมุ่งมั่นความพยายามทำให้ประสบความสำเร็จ

สำหรับเส้นทางการเป็นแพทย์ของผม ก็เรียกได้ว่าโชคดีที่เข้ามาแล้วเป็นสิ่งที่เรารักและอยากจะทำจริงๆ ใครที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้หรือเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะเป็นหมอ แนะนำว่าควรศึกษาให้ดีก่อนว่าเป็นสิ่งที่เราชอบเราถนัดจริงๆ ไหม ทุกอย่างต้องเริ่มจากความรักความชอบ และมีความถนัดเฉพาะทางเดี๋ยวนี้มีโซเชียลมีเดียที่ให้เราค้นคว้าหาความรู้มากมาย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีแหล่งให้หาข้อมูลไม่มากนัก เราสามารถเข้าไปศึกษาได้ว่าการเรียนแพทย์จะต้องทำอย่างไร เมื่อเข้ามาแล้วก็ยังมีอีกหลายสาขาให้เลือกตัดสินใจว่าจะมุ่งต่อไปทางไหน บางคนก็อาจจะเป็นหมอที่วิเคราะห์โรคจากฟิลม์เอกซเรย์

บางคนชอบความท้าทายก็เลือกการเป็นแพทย์ศัลยกรรม วิชาชีพแพทย์ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งมากในแง่ความรู้ แต่แพทย์ที่ดีต้องเก่งในแง่ของการมองคน การรักษาคน และการเข้าใจมนุษย์ และไม่ว่าเราจะตั้งเป้าอะไรก็ตาม ต้องใช้ความมานะเพียรพยายามตั้งใจทำให้สำเร็จและพยายามใช้ชีวิตอย่างสมดุล เราก็จะมีความสุขทั้งชีวิตหน้าที่การงานแล้วก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตปัจจุบัน”