posttoday

ส่งออกไทยไม่กระทบถูกสหรัฐตัดจีเอสพี

01 พฤศจิกายน 2563

ประเมินผลกระทบทางลบต่อภาคส่งออกไทยไม่มากนักจากการตัดสิทธิจีเอสพีของสหรัฐฯต่อสินค้าไทย 231 รายการ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยและอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ผลกระทบทางลบต่อภาคส่งออกไทย เศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่มากนักจากการตัดสิทธิจีเอสพีของสหรัฐฯต่อสินค้าไทย 231 รายการ และไม่มีความจำเป็นในการทำตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการในเปิดตลาดเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเพราะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนชาวไทย โดยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์น่าจะตัดสินใจบนพื้นฐานผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อรักษาฐานคะแนนจากกลุ่มเกษตรกรสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ค้าไทย 231 รายการที่ถูกตัดสิทธิล่าสุดและมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม มีเพียง 147 รายการเท่านั้นที่ผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิ สินค้ากลุ่มนี้ (147 รายการ) มีมูลค่านำเข้าเฉลี่ยประมาณ 600-700 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเสียภาษีเพิ่ม 4-5% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 640-960 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อบริษัทส่งออกขนาดกลางขนาดเล็กที่อาศัยตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลักจะกระทบมากพอสมควร ฉะนั้นต้องเร่งหาตลาดใหม่ทดแทนหากแข่งขันไม่ได้ในด้านราคาในตลาดสหรัฐฯอันเป็นผลที่ไม่ได้รับสิทธิจีเอสพีแล้ว สินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ กระปุกเกียร์ ผลิตภัณฑ์ยางหลากหลายประเภท กรอบแว่นตา เคมีภัณฑ์ อลูมิเนียมแผ่นบาง เป็นต้น

ด้านผลที่มีต่อตลาดการเงินในประเทศมีจำกัดแต่บริษัทที่ผลิตและส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์อาจได้รับผลกระทบบ้าง โดยราคาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางที่ราคาปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้อาจปรับฐานลดลงได้จากข่าวการตัดจีเอสพีดังกล่าว ส่วนความเคลื่อนไหวของเงินบาทไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญใดๆ

ขณะที่ไทยยังคงใช้สิทธิและยังไม่ถูกตัดสิทธิจีเอสพีในสินค้าอีก 638 รายการ โดยตนมองว่า ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมหาตลาดใหม่ๆไว้ทดแทนบ้างเนื่องจาก ไทยอาจถูกติดสิทธิจีเอสพีจากการอ้างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ในระยะต่อไป

ทั้งนี้ หาก “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งมีแนวโน้มสูงที่จะนำเอาประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานและประชาธิปไตยมาเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากขึ้น นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในวันที่ 3 พ.ย. ที่จะถึง ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงินโลก เศรษฐกิจไทยมากกว่า ประเด็นการตัดจีเอสพีมากกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในส่วนที่เชื่อมโยงกันเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯมากเป็นพิเศษ หากผลการเลือกตั้งออกมาโดย “โจ ไบเดน” มีชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินโลกมากที่สุด แม้นว่า “โจ ไบเดน” จะมีนโยบายเก็บภาษีเพิ่มทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% เก็บภาษีบุคคลธรรมดาเพิ่มจาก 37% เป็น 39% และวางแผนจะเก็บภาษีเงินกำไรจากเงินลงทุน (Capital gain tax) โดยเก็บจากคนที่รายได้ตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป นโยบายการเก็บภาษีเหล่านี้เพื่อไม่ต้องตัดลดสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยคงจะมีผลต่อธุรกิจใหญ่ๆ และนักลงทุนในตลาดหุ้นอยู่บ้าง

แต่การยกเลิกนโยบายกีดกันทางการค้าและชาตินิยมทางเศรษฐกิจรวมทั้งการก่อสงครามทางการค้าลดลงจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกในภาพรวม ตลาดหุ้นส่งผลบวกต่อเอเชียและเศรษฐกิจไทยดีขึ้น พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แรงงานจะได้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ธุรกิจอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมนุษย์เข้มข้นจะย้ายฐานมาทางเอเชียมากขึ้น

ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาในยุค “โจ ไบเดน” น่าจะมีการเข้าร่วมเจรจา CPTPP และ TPP ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค นโยบาย Buy American ของ “โจ ไบเดน” คงไม่ส่งผลต่อการซื้อสินค้าต่างชาติและภาคส่งออกเท่านโยบาย America First หรือ Make American Great Again ของ “โดนัล ทรัมป์” อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หาก “โดนัล ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งอาจเป็นผลดีต่อธุรกิจขนาดใหญ่และตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น เพราะจะมีการยืดมาตรการ Tax cuts and Jobs Act ต่อไปอีก กลุ่มธุรกิจพลังงานแบบเดิมน่าจะได้ประโยชน์ ขณะนี้สงครามทางการค้าและลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจจะเข้มข้นมากขึ้นไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินโลกโดยรวม หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่ชัดเจน มีการชุมนุมประท้วงผลการเลือกตั้งหรือมีการสั่งให้นับคะแนนใหม่โดยศาล กรณีนี้จะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกผันผวนในช่วงปลายปีและต้นปีหน้ามากที่สุด นายอนุสรณ์ มองว่า หาก “โจ ไบเดน” ชนะเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯอาจปรับฐาน เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง เงินทุนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อาจเคลื่อนย้ายมายังตลาดเอเชียและตลาดดาวรุ่งทางเศรษฐกิจ (Emerging Markets) มากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุน นักธุรกิจที่อาจจะกังวลกับนโยบายภาษีของพรรคแดโมแครตและ ความเสี่ยงการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯและกำไรที่ลดลงจากการคาดการณ์เสียภาษีเพิ่มขึ้นจะถูกชดเชยโดยการเปิดเสรีการค้าเพิ่มขึ้น กำลังซื้อภายในเพิ่มขึ้นจากค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น การเพิ่มสวัสดิการและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ความสัมพันธ์กับยุโรปน่าจะดีขึ้นกว่าสมัยทรัมป์ เพราะ “โจ ไบเดน” ไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรณีข้อพิพาทเรื่องการจัดเก็บภาษีดิจิทัลของรัฐบาลในยุโรป