posttoday

จี้รัฐเร่งฟื้นความเชื่อมั่น ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกู้วิกฤตเศรษฐกิจ

27 ตุลาคม 2563

เอกชนประสานเสียง รัฐต้องกระตุ้นการลงทุนทุกภาคส่วน ชี้รออีก 2 ปี เศรษฐกิจจะฟื้นใกล้กับช่วงก่อนโควิด แนะเลือกอุตสาหกรรมเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปักหมุดลงทุนอีอีซี

นายชนะ สัมพลัง นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยภายในงาน “ASA Building And Construction Forum 2020”การเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2563 -2565” ว่า ภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันกระตุ้น ส่งเสริม และฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในอุตสาหกรรมการออกแบบและก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเทรนด์ของการออกแบบอาคาร ที่พักอาศัยในยุคหลังโควิด-19 จะมีหลากหลาย และให้ความสำคัญกับการวางเป้าหมายความปลอดภัยทางสุขอนามัยเป็นหลัก

ทั้งนี้นักสถาปนิกจึงมีส่วนสำคัญในการเข้าไปออกแบบที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด และอาคาร ให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของคนในยุคโควิด-19 ที่เปลี่ยนไป และนำขึ้นมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุ การออกแบบตกแต่งที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้

ผศ.ดร.ธนวรรธน์  พลวิชัย ที่ปรึกษาหอการค้าไทยและอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2564-2565 ที่ระดับ   5 % เท่ากับช่วงที่ก่อนการเกิดโควิด-19 บนสมมติฐานที่จะไม่เกิดการระบาดรอบที่ 2 โดยเทรนด์ในการขับเคลื่อนธุรกิจภายหลังโควิด-19 ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ทอัพ ซึ่งเกิดจากการเติบโตของกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย ที่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการสร้างโมเดลธุรกิจในแพลตฟอร์มต่างๆ เพราะคนรุ่นใหม่ต้องการสร้างธุรกิจของตัวเอง  ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังยกระดับไปสู่เทคโนโลยีชั้นสูง

อย่างไรก็ดีภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ใช้จุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางอาเซียน พัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ เพื่อหาเอสเคิร์ฟตัวใหม่สร้างการเติบโตจาก BCG  ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) รวมถึงการสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนกับทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต แก้ไขปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ขาดแคลนแรงงาน และเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะที่ดร.ปริญญ์  พานิชภักดิ์  รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภาครัฐต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ รวมถึงการบริหารจัดการงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ที่จะต้องเร่งการเบิกจ่ายเยียวยาและฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะงบประมาณที่เสนอมาจากชุมชน ยังมีการอนุมัติน้อยมาก รวมไปถึงการอนุมัติสินเชื่อ (Soft loan) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับโดยเฉพาะการมุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แทนการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดใหญ่

นายรังสิน กฤตลักษณ์ ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาครัฐควรใช้โอกาสในวิกฤตินี้เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ให้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง และพัฒนาฐานการผลิต แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน หากขาดงบประมาณและต้องการควบคุมเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ก็มีทางเลือกโดยการพัฒนาโมเดลร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือรัฐทำหน้าที่เพียงเป็นเจ้าภาพในการจัดสรรโครงการอำนวยความสะดวกด้านภาษี หรือกฎหมาย เอื้อให้กับภาคเอกชนทำหน้าที่เป็นเจ้ามือในการลงทุน

ด้านนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาการชะลอตัวเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ส่งผลทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลดลง ทำให้อัตราการลงทุนในไตรมาส 1 ของปี 2563 ติดลบ มีเพียงเงินลงทุนจากภาครัฐที่ยังขยายตัวเป็นบวก 10% ในไตรมาสแรก และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 ของปีนี้ ส่วนภาคเอกชนก็ยังลดลงเช่นเดิม รัฐจึงต้องสร้างความมั่นใจโดยการนำร่องลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัว หลังจากจัดการกับโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีแต่เศรษฐกิจยังชะลอตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบคือผู้ประกอบการก่อสร้างรายเล็ก และรายกลางที่ต้องวิ่งเข้าหางาน เพื่อรักษาธุรกิจให้อยู่รอดได้ ทุกฝ่ายจึงภาครัฐลงทุนฟื้นความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ