กมธ.แนะรัฐเร่งแก้ปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มล้น

กมธ.พลังงาน จี้ "กิตติรัตน์" เพิ่มโควตาแสนตันระบายน้ำมันปาล์มค้างสต็อก ชี้ล้นเกินจำเป็น 1.7 แสนตัน

การประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการ (กมธ.)พลังงาน กมธ.การเศรษฐกิจ และ กมธ.การส่งเสริมราคาผลผลิตเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณากรณีราคาผลปาล์มตกต่ำเฉลี่ยราคากิโลกรัมละ 3.10 บาท  โดยนายอาคม เอ่งฉ้วน สส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า เหตุผลที่ราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำ เพราะขณะนี้มีน้ำมันปาล์มค้างสต็อกถึง 3.7 แสนตัน ซึ่งสต็อกควรมีน้ำมันปาล์มสำรองเพียง 2 แสนตันเท่านั้น ถือว่าเกินความจำเป็นถึง 1.7 แสนตัน แม้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) จะมีมติให้ดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาดปริมาณ 5 หมื่นตัน และจะอนุมัติเพิ่มอีก 5 หมื่นตัน เเต่ไม่ได้ช่วยระบายน้ำมันปาล์มที่ค้างสต็อกอยู่ 3.7 แสนตัน จึงอยากเสนอให้รัฐบาลว่าเพิ่มมาตรการการช่วยเหลืออีก 1 แสนตันเพื่อระบายสต็อกโดยเฉพาะโดยใช้วิธีการเปิดเสรีให้โรงสกัดเข้ามาเสนอขายน้ำมันที่ค้างสต็อกต่อรัฐบาล

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธาน กปน. ชี้แจงว่า สาเหตุที่มาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มไม่ได้ครอบคลุมการระบายน้ำมันปาล์มในสต๊อก ที่เป็นช่วงผลปาล์มต่ำกว่า 4 บาท เหมือนช่วยเหลือโรงสกัดมากกว่าช่วยเหลือเกษตร แต่ในเรื่องการระบายสต็อกนั้นได้มีการมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์อุดหนุนการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อเพิ่มการดูดซับน้ำมันปาล์มมากขึ้นเเล้ว

ขณะที่นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ชี้แจงว่า กำลังร่วมกับบริษัทน้ำมันและค่ายรถยนต์ศึกษาเพื่อแปรรูปน้ำมันปาล์มไปเป็นส่วนผสมน้ำมันดีเซลมากขึ้น จากเดิมที่กำหนดไบโอดีเซล 5% หรือที่เรียกว่า บี 5 เป็น 7% หรือบี7 แต่รถไม่ได้ออกแบบไว้รองรับ จึงต้องพัฒนาเกรดคุณภาพน้ำมันปาล์มในการแปลงให้เป็นน้ำมันที่สามารถใช้กับรถยนต์ได้โดยไม่เกิดปัญหา

นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. กล่าวว่า กำลังทดลองใช้ บี 7 กับรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) จำนวน 3,000 คัน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะช่วยระบายการใช้น้ำมันปาล์มได้ในระดับหนึ่ง