กรีดเลือดผมมาเป็นสีฟ้า สู่ “ใจไม่เคยไปไหน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คือการหวนคืนของอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ในวันที่พรรคกำลังสั่นคลอน ไม่ได้กลับมาเพื่ออำนาจ แต่เพื่อย้ำว่า “หัวใจสีฟ้า” ยังมีชีวิต
KEY
POINTS
- “กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้า” — อุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแม้พ่ายแพ้
- พรรคประชาธิปัตย์ในภาวะ “ยิ่งกว่าวิกฤต” ต้องฟื้นความหมายทางการเมือง
- “ใจไม่เคยไปไหน” — คำตอบที่มากกว่าอารมณ์ คือคำประกาศแห่งจิตวิญญาณ
การกลับมาของ"อภิสิทธิ์"ผู้ไม่เคยคิดจาก
เสียงพูดคุยเบา ๆ ปนความคาดหวังดังทั่วห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เขตหลักสี่ ในเช้าวันประชุมใหญ่วิสามัญ พรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2568 วาระสำคัญของวันนั้นคือการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคคนที่ 7 ที่มีแนวโน้มจะกลับมานำทัพอีกครั้ง
เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีในวัย 60 ปีปรากฏตัว เสียงปรบมือและแฟลชกล้องถ่ายภาพสื่อดังพร้อมกันไปทั่วห้อง เขาเดินอย่างสงบนิ่งก่อนตอบคำถามสั้น ๆ จากผู้สื่อข่าวว่า “รู้สึกอย่างไรที่กลับมาพรรคอีกครั้ง”
คำตอบมีเพียงประโยคเดียว “ใจไม่เคยไปไหน”
ถ้อยคำสั้น ๆ นี้กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันที่ยาวนานระหว่างชายผู้เติบโตมากับประชาธิปัตย์กับพรรคที่เขาเรียกว่า “บ้าน” มันคือเสียงสะท้อนต่อเนื่องจากคำปราศรัยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 วันที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อที่ประชุมใหญ่พรรคเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลาออก พร้อมคำประกาศที่ตรึงใจว่า “กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย”
เมื่อเลือดสีฟ้าเจอกับวิกฤต “ยิ่งกว่าวิกฤต”
ถ้อยแถลงของอภิสิทธิ์ต่อที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯเมื่อปี 2566 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพรรคเก่าแก่ที่สุดในไทย โดยเริ่มต้นด้วยการขอบคุณนายชวน หลีกภัย ผู้เคยเป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่วัย 11 ปี ก่อนเล่าย้อนว่าพรรคประชาธิปัตย์คือสถาบันที่ “ใหญ่กว่าบุคคล” และทุกคนที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคก็เป็นเพียงผู้สืบทอดเจตนารมณ์ ไม่ใช่เจ้าของ
แต่หัวใจของสุนทรพจน์อยู่ตรงประโยคที่ว่า “พรรคเรากำลังอยู่ในภาวะยิ่งกว่าวิกฤต” ประโยคที่ทำให้ทั้งห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะ และชี้ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่โครงสร้างหรือข้อบังคับพรรค แต่เป็นเพราะ “ประชาชนไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์ยืนอยู่ตรงไหน” พรรคถูกเบียดออกจากทุกขั้วทางความคิด ไม่ใช่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเต็มตัว และไม่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
อภิสิทธิ์ บอกตรง ๆ ว่า “การเมืองมีขึ้นมีลงก็จริง แต่มีลงไม่ได้แปลว่าจะมีขึ้น ถ้าเราไม่เรียนรู้” ถ้อยคำนั้นไม่เพียงเตือนเพื่อนร่วมพรรค แต่ยังเป็นการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ประชาธิปัตย์สูญเสียจิตวิญญาณที่เคยทำให้ตนต่างจากพรรคอื่น พรรคที่ไม่เคยกลัวการเป็นฝ่ายค้าน พรรคที่ยืนหยัดในอุดมการณ์มากกว่าความสะดวกทางอำนาจ
อุดมการณ์ ศักดิ์ศรี และการลาออกที่ไม่จาก
เมื่อประชาธิปัตย์เดินมาถึงทางแยก อภิสิทธิ์ เลือกเส้นทางที่ยากที่สุด ประกาศถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครหัวหน้าพรรคและลาออกจากประชาธิปตย์ เพื่อเปิดทางให้ผู้บริหารชุดใหม่ทำงานโดยไม่ต้องมีเงาอดีตผู้นำอยู่เบื้องหลัง
อภิสิทธิ์ กล่าวอย่างสงบว่า “ผมไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณีที่จะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้บ้านเมืองต่อไป” คำพูดนี้คือการย้ำคำมั่นว่า พรรคต้องกลับไปยืนบนอุดมการณ์เดิม ความซื่อสัตย์ ความเป็นสถาบัน และความเชื่อในประชาธิปไตย
พร้อมกับทิ้งท้ายไว้กับเพื่อนร่วมพรรคว่า “วันนี้ไม่ใช่เรื่องใครชนะหรือแพ้ แต่เป็นเรื่องเอกภาพของพรรค” นั่นคือสปิริตของผู้นำที่ไม่หวงตำแหน่ง แต่ห่วง “บ้าน” ที่ตนสร้างมากับมือ ความกล้าที่จะก้าวออกด้วยศักดิ์ศรีเช่นนี้ กลายเป็นภาพจำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักการเมืองที่ยืนยันว่าความซื่อสัตย์คือพลังสูงสุดของประชาธิปไตย
เมื่อ “เลือดสีฟ้า” ต้องค้นหาทางเดินใหม่
การกลับมาปรากฏตัวในปี 2568 จึงไม่ใช่การหวนคืนเพื่อแย่งชิงอำนาจ แต่เป็นการ “กลับมาปลุกอุดมการณ์” ในวันที่พรรคเก่าแก่ที่สุดของไทยต้องดิ้นรนเพื่อความหมายใหม่ในยุคที่การเมืองกลายเป็นตลาดของภาพลักษณ์และกระแสสั้น ๆ
“ใจไม่เคยไปไหน” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ทางการเมือง ท่ามกลางยุคที่พรรคการเมืองจำนวนมากยึดติดกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า การปรากฏตัวของอภิสิทธิ์ในห้องประชุมใหญ่ครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณปลุกคนในพรรคให้กลับมาทบทวนคำถามง่าย ๆ แต่สำคัญที่สุด ประชาธิปัตย์ยังเป็น “พรรคแห่งอุดมการณ์” อยู่หรือไม่
ในสังคมการเมืองที่อุดมการณ์ถูกกลบด้วยการตลาด การยืนหยัดของอภิสิทธิ์อาจเป็นสิ่งเตือนใจคนทั้งพรรคว่า การจะฟื้นคืนพลังนั้นไม่อาจซื้อได้จากคะแนนเสียง แต่ต้องสร้างจากศรัทธา ความจริงใจ และเลือดสีฟ้าที่ไม่เคยเหือดแห้ง
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อาจไม่กลับมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคอีก แต่ทว่าได้ทิ้งร่องรอยของผู้นำที่ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ พรรคประชาธิปัตย์จะฟื้นหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ว่าคนในพรรคยังมีเลือดสีฟ้าอยู่ในใจหรือเปล่า


