น้ำมันในอ่าวไทย เบื้องหลังมาครงเสนอตัวไกล่เกลี่ย ไทย-กัมพูชา
ฝรั่งเศสประกาศพร้อมเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หากได้รับการร้องขอ ขณะบริษัทน้ำมันฝรั่งเศส หวังได้สัมปทานแหล่งน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส พยายามแสดงบทบาทเชิงรุกในฐานะผู้มีส่วนสำคัญต่อสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเสนอความช่วยเหลืออย่างเป็นกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย
การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากการหารือผ่านโทรศัพท์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระหว่างประธานาธิบดีมาครงและนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย โดยทางการฝรั่งเศสให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกระบวนการเจรจาระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน และยินดีให้เข้าถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคม
การทูตในมิติสองทาง เดินเกมรุกทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา
ก่อนหน้านี้ มาครงได้แสดงเจตจำนงในการพบกับสมเด็จ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส โดยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกัมพูชาในการรวบรวมเอกสารประกอบคำร้องต่อศาลโลก และย้ำว่าฝรั่งเศสพร้อมจะช่วยเหลือไทยในลักษณะเดียวกันหากมีความจำเป็น
ในฝั่งของไทย มาครงได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ยืนยันในมิตรภาพระหว่างสองประเทศท่ามกลางความท้าทายต่างๆ โดยย้ำว่า ประชาชนชาวไทยสามารถไว้วางใจมิตรภาพจากฝรั่งเศสได้เสมอ ในขณะที่นางสาวแพทองธาร ได้โพสต์โซเชียลมีเดีย ระบุว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงการสานต่อและกระชับความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีอวกาศ กลาโหม และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ของไทย-ฝรั่งเศสไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
ตนได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทยที่จะหารือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อหาทางออกของปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งประธานาธิบดีมาครงแสดงความเข้าใจในท่าทีดังกล่าวของไทยและพร้อมให้การสนับสนุน
ฝรั่งเศสในบทบาทอดีตเจ้าอาณานิคม
ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างฝรั่งเศสกับกัมพูชาในฐานะอดีตรัฐในอารักขา (ค.ศ. 1863–1953) ได้ส่งผลให้ฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเส้นเขตแดนผ่านสนธิสัญญาและแผนที่หลายฉบับ เช่น สนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม และแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการพิจารณาของ ICJ ในคดีปราสาทพระวิหาร ปี พ.ศ. 2505 และการตีความใหม่ในปี พ.ศ. 2556
มาครงยืนยันว่าฝรั่งเศสจะดำเนินบทบาทในฐานะ “ผู้ประสานที่เป็นกลางและสร้างสรรค์” โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาค พร้อมเปิดเผยว่าฝรั่งเศสพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ทั้งสองประเทศ “ด้วยเอกสารใด ๆ ที่จำเป็น” หากได้รับการร้องขอจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ข้อสังเกตจากการเสนอตัวของมาครง
แม้ข้อเสนอของฝรั่งเศสอาจจะมีหลายฝ่ายมองในฐานะ “ท่าทีที่แสดงถึงความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์” แต่ก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงความพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผลประโยชน์ทางเศรษกิจ คือแหล่งน้ำมันในพื้นที่พิพาทในทะเล ซึ่งบริษัทน้ำมันข้ามชาติของฝรั่งเศส อาจได้ประโยชน์จากกรณีนี้ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหาร TotalEnergies บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ได้เข้าหารือกับรัฐมนตรีพลังงานของกัมพูชา เกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนด้านพลังงานในกัมพูชาเพิ่มเติม จากสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่เกือบ 60 สาขาทั่วกัมพูชาในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า TotalEnergies ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของฝรั่งเศส กำลังสำรวจโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนน้ำมัน ก๊าซ และพลังงานหมุนเวียนของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามีส่วนร่วมในการสำรวจน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง ในพื้นที่ทับซ้อน III (OCA-III) ผ่านข้อตกลงแบบมีเงื่อนไขกับรัฐบาลกัมพูชา นอกจากนี้ พวกเขากำลังมองหาการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนในสิงคโปร์ โดยมีแผนจะขยายไปยังกัมพูชาหากประสบความสำเร็จ จึงน่าจับตาว่า การเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีมาครง ครั้งนี้ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของทุนพลังงานสัญชาติฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด


