posttoday

PCC เซ็นสัญญา กฟภ. ซื้อขายหม้อแปลงไฟฟ้า 3 เฟส 433 เครื่อง มูลค่า 111.98 ล้าน

18 พฤษภาคม 2567

PCC ลงนามสัญญากับ กฟภ. ซื้อขายหม้อแปลงไฟฟ้า 3 เฟส จำนวน 433 เครื่อง มูลค่ากว่า 111.98 ล้านบาท โชว์งบไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 89.84 ล้านบาท โต 8.50% มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% จากปีก่อน มองระบบสมาร์ทกริดขยายตัวต่อเนื่อง หนุนการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน

นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC เปิดเผยว่า บริษัท แปซิฟิค พรอสเพอริตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (PPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท ที่บริษัท พรีไซซ ดิจิตอล อีโคโนมี่ (PDE) จำกัด ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% (โดย PDE เป็นบริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 99.99%) จะมีพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายหม้อแปลงไฟฟ้า 3 เฟส ระบบ 22 กิโลโวลท์ และ 33 กิโลโวลท์ จำนวน 433 เครื่อง ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในวันที่ 28 พ.ค.2567 มูลค่าสัญญารวม 111,982,027.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ มีกำหนดการส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายใน 165 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาซื้อขาย 

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่  89.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.50% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 82.80 ล้านบาท เนื่องมาจากการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,202.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.25% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,052.60 ล้านบาท 

โดยรายได้จากการขายงวดไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 647.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.10% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 599.04 ล้านบาท เนื่องจากการขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้าภาครัฐและเอกชนที่เป็นผู้รับเหมาหลักของงานสถานีไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากรายได้ขายกลุ่มสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ,รายได้ขายกลุ่มสินค้าสวิตช์ตัดตอนชนิดต่างๆ ได้แก่ โหลดเบรคสวิตซ์ และรายได้ขายกลุ่มอุปกรณ์และระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ได้แก่ อุปกรณ์ใน กลุ่ม มิเตอร์ 

และรายได้จากการให้บริการและโครงการก่อสร้างงวดไตรมาส 1/2567 มีรายได้เอยู่ที่ 547.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.84% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 449.44 ล้านบาท ปัจจัยหลัก คือ การเพิ่มขึ้นของรายได้สำหรับงานบริการก่อสร้าง ได้แก่ งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง จากงานโครงการสถานีไฟฟ้าแรงสูง 500/230 kV แม่เมาะและ ลำพูน, งานระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ จากงานโครงการติดตั้งขยายของงาน FDI (Feeder Device Interface) 4 ภาค ซึ่งเป็นสัญญาต่อเนื่องของงานโครงการ SCADA ที่จบโครงการ ไปแล้ว และงานบริการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง จากการงานติดตั้งอุปกรณ์ โหลดเบรคสวิตซ์

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมีโครงสร้างรายได้สำหรับงวด 3 เดือนแรกปี 2567 จากรายได้จากการขาย ในสัดส่วน 53.8% และรายได้จากการให้บริการและโครงการก่อสร้าง ในสัดส่วน 45.5% ของรายได้รวม ตามลำดับ

นายกิตติ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2567 เติบโต 10% จากปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 4,630.66 ล้านบาท เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการเติบโตจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าระบบ Smart Grid หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน ทำให้ระบบไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันจำนวนรถไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้น จากนโยบายสนับสนุนจากทางภาครัฐ

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา