เทียบบทบาทบล็อกเชนกับแอปเป๋าตังต่อเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่างกันอย่างไร
ล้วงลึกบทบาทบล็อกเชนต่อเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านมุมมองของภูริเชษฐ์ เทพดุสิต Director of Bluebik Nexus ว่าคืออะไร จำเป็นแค่ไหน แตกต่างจากแอปเป๋าตังอย่างไร
แม้ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทที่จะแจกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 จะถึงมือประชาชนด้วยกระบวนเช่นไรหรือมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่ก็เริ่มมีเสียงแตกว่าทำไมไม่เลือกแอปเป๋าตังแทนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) เพราะประชาชนส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกับการใช้งานและผ่านการยืนยันตัวตนกันไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าที่ต้องใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ก็เพื่อเป็นการปูพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และสร้างเทคโนโลยีบล็อกเชนสัญชาติไทย สำหรับใช้งานด้านอื่น ๆ ในอนาคต แม้ประชาชนจะต้องมีการโหลดแอพพลิเคชั่น ซึ่งคือกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะเป็นซุปเปอร์แอปฯ ของรัฐบาลมาเพื่อใช้งานก็ตาม
แต่สุดท้ายไม่ว่าผลสรุปจะเป็นอย่างไร หลายคนก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้ว "บล็อกเชน" ที่ว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับดิจิทัล วอลเล็ตในแง่มุมไหน สำคัญอย่างไร แล้วทำไมต้องมีด้วย
ทั้งนี้จากมุมมองของนายภูริเชษฐ์ เทพดุสิต Director of Bluebik Nexus (บริษัทในเครือ บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ Bluebik) ได้ขยายความถึงบทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชนต่อระบบกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ว่า หากอธิบายแบบง่าย ๆ คือ บล็อกเชนเป็น database สำหรับเก็บข้อมูลนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากใช้ในบริบทของเงินดิจิทัล ควรใช้บล็อกเชนเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลในการเก็บข้อมูลว่าผู้ใช้มียอดเงินคงเหลือเท่าไหร่ (account balance) และบันทึกประวัติการทำธุรกรรมของผู้ใช้ว่าใช้เงินไปที่ไหนและเมื่อไหร่ (transaction history)
ทั้งนี้ แน่นอนว่าการใช้บล็อกเชนเป็นกระเป๋าเงินมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบกับใช้ระบบ database ธรรมดา โดยนายภูริเชษฐ์ ได้สรุปเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นดังนี้
1. Technology Enables
ข้อดีของบล็อกเชน คือเป็นเทคโนโลยีที่เน้นความปลอดภัยและโปร่งใส ทำให้การโกงเป็นเรื่องยาก นั่นเป็นผลมาจากความสามารถในการเขียนโปรแกรมเงินดิจิทัลบนสมาร์ทคอนแทร็กท์ ซึ่งทำได้ค่อนข้างง่ายและสามารถตรวจสอบได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลปกติ
แต่สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดคือเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งก็คือ node (หรือ validator หรือ server) ที่จะมารัน Blockchain network
นั่นคือ ตามหลักการของบล็อกเชน การรัน node จะต้องเป็นแบบ Decentralized เพื่อความปลอดภัยของระบบสูงสุด และยังเพื่อป้องกันการโจมตี ซึ่งหากจะทำ Decentralized ได้นั้น คือในระบบต้องมีจำนวน node มากระดับหนึ่ง จึงจะป้องกันการโจมตีแบบ 51% ได้ เช่นเดียวกับระบบ Public Blockchain ได้แก่ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งมีหลายหมื่น Node รันกระจายตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับระบบที่ไม่ใช้บล็อกเชน เช่น แอปเป๋าตัง ที่อาจจะมี node สูงสุดที่รันเพียงไม่กี่สิบ node ในระบบเท่านั้น
ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลต้องการใช้บล็อกเชนสำหรับเงินดิจิทัล ควรพิจารณาใช้ Private Blockchain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยระบบยังคงมีความปลอดภัยเหมือนเดิม นอกจากนี้ อาจจะต้องมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชนในการก่อตั้ง Blockchain Network และต้องมี Governance Committee จากแต่ละหน่วยงานร่วมตัดสินใจและตรวจสอบได้
แนวทางนี้คล้ายกับ Public Blockchain ที่มีกระบวนการในการคัดเลือก node ตัวอย่างเช่น Binance Chain ที่มีการคัดเลือกบริษัทต่าง ๆ เพื่อรัน node ในระบบ ไม่ต้องรัน node เองทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าการใช้บล็อกเชนจะมีขั้นตอนเพิ่มเติมในการจัดตั้งเครือข่าย และการบริหารระบบที่แตกต่างออกไปจากระบบธรรมดาทั่วไปที่มีแค่หน่วยงานเดียว ซึ่งการดำเนินการนี้จะใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่า แต่ก็ทำให้ระบบมีความปลอดภัยมากขึ้น และตรวจสอบได้มากขึ้นด้วย
2. Usability and User Experience
การใช้งาน (Usability) ของระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้น มีความแตกต่างกันน้อยมากในมุมมองของผู้ใช้งาน
ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นและลงทะเบียน เพื่อเข้าใช้งานระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ ซึ่งสามารถนำแอพพลิเคชั่นไปใช้จ่ายตามร้านค้าที่รัฐบาลกำหนดได้ และยังสามารถดูยอดเงินและประวัติการใช้จ่ายได้อย่างปกติ
จุดเด่นอีกอย่างของบล็อกเชนคือการป้องกัน Double spending ดังนั้นการใช้งานไม่ควรเจอปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายเงินแล้วเงินไม่ลดหรือหักยอดเกิน
ในเชิงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน หรือ User experience ก็มีสิ่งที่แตกต่างจากระบบที่ไม่ใช้บล็อกเชน คือ เรื่องค่าธรรมเนียม (Gas Fee) ที่ผู้ใช้งานต้องเป็นคนจ่ายให้กับระบบทุกครั้งที่มีการทำรายการ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังมีความล่าช้าในการดำเนินการทุกครั้งเมื่อมีการทำธุรกรรม เนื่องจากมีการ Block time ที่ต้องใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลลงในระบบบล็อกเชน ยกตัวอย่างเช่น Binance Chain มี Block time ที่ 5 วินาที ซึ่งหมายความว่าในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 วินาที หรือมากกว่านั้นถ้ามีการใช้งานระบบจำนวนมาก เพื่อให้ระบบบล็อกเชนบันทึกข้อมูลในระบบ จึงทำให้มีความแตกต่างจากระบบที่ไม่ใช้บล็อกเชนที่ใช้เวลาไม่กี่วินาที
มาถึงตรงนี้คงเริ่มเห็นภาพ (มาก) ขึ้นบ้างแล้วว่า บล็อกเชนมีบทบาทและสำคัญอย่างไรต่อโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่หวังว่าจะส่งตรงสู่ประชาชนตามที่ท่านนายกฯ เศรษฐารับปากไว้


