posttoday

TDRI ชี้ ยุบสภาทำนโยบายศก.ชะงัก แนะรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

12 ธันวาคม 2568

ดร.นณริฏ ชี้รัฐบาลรักษาการออกนโยบายใหม่ไม่ได้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก ตลาดจับตาสานต่อ TISA-BOI? เผยการลงทุนในประเทศถดถอย แนะรัฐบาลใหม่เร่งนโยบายระยะยาว รับมือภูมิรัฐศาสตร์–สงครามการค้า

KEY

POINTS

  • การยุบสภาส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ๆ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างต้องหยุดชะงัก เนื่องจากรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด
  • การลงทุนในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวและต้องการนโยบายส่งเสริมจากรัฐบาลใหม่ ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติยังคงเดินหน้าต่อได้แต่ต้องรอความชัดเจน
  • TDRI เสนอให้รัฐบาลชุดใหม่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาวมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ) ให้ความเห็นถึงกรณีนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาว่า ตามหลักการแล้วรัฐบาลรักษาการไม่สามารถออกนโยบายใหม่ที่จะส่งผลได้ผลเสียต่อการเลือกตั้งได้ ดังนั้น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการจึงต้องยุติลง นอกจากนี้ รัฐบาลรักษาการยังไม่สามารถออกนโยบายที่เป็นผลเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้ เนื่องจากจะเป็นการทับซ้อนหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ได้รับเลือกจากประชาชน

ในส่วนของภาคธุรกิจ ตลาดเงิน และตลาดทุน มักจะเกี่ยวข้องกับจุดเด่นและนโยบายของภาครัฐ ตัวอย่าง เช่น ก่อนการยุบสภา รัฐบาลนายอนุทิน ได้พยายามปรับปรุงกลไกมาตรการการออมผ่านตลาดทุนภายใต้โครงการ Thailand Individual Savings Account : TISA และพยายามแก้ไขปัญหาด้านกฎระเบียบของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งมีธุรกิจยื่นขอจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการลงทุนจริง ผลกลไกล Fast Track ดูเหมือนจะส่งผลในด้านบวก แต่เมื่อเกิดการยุบสภา นโยบายเหล่านี้ก็ต้องหยุดชะงักและต้องรอดูว่ารัฐบาลใหม่จะกลับมาสานต่อหรือไม่
 

ส่วน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนหรือไม่นั้น มองว่า เม็ดเงินจากต่างประเทศนั้นน่าจะยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากมี BOI และ EEC คอยดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลได้จริง จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เข้ามาแก้ไขอุปสรรคของภาคเอกชนอย่างที่รัฐบาลก่อนหน้านี้พยายามดำเนินการ ขณะที่การลงทุนในประเทศมีแนวโน้มเป็นไปตามสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเติบโตต่ำลงและถดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้การลงทุนในประเทศต้องการนโยบายอุตสาหกรรมและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อหนุนให้เอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น


ในด้านนโยบายการเงิน ดร.นณริฏระบุว่า การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการยุบสภามากนัก เนื่องจากกนง.มองแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงยาวเป็นหลัก และจะปรับเปลี่ยนนโยบายก็ต่อเมื่อมีข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนรองรับ ดังนั้นจึงอยู่ในภาวะรอดู ผลการเลือกตั้งและทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ก่อนตัดสินใจใด ๆ

ดร.นณริฏเน้นย้ำว่า รัฐบาลใหม่ควรมีนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นผลในระยะยาวมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และควรให้ความสำคัญกับการรับมือกับปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าเป็นการเร่งด่วน หากผลการเลือกตั้งนำมาซึ่งรัฐบาลที่เข้มแข็งและมีเวลาทำงานที่ยาวนานพอ ก็จะสามารถขับเคลื่อนและสะสางปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้ดีขึ้น
 

ข่าวล่าสุด

ยุบสภา68ความล้มเหลวแก้รัฐธรรมนูญสะดุด อำนาจสว.จุดแตกหัก