ยุบสภา68ความล้มเหลวแก้รัฐธรรมนูญสะดุด อำนาจสว.จุดแตกหัก
การยุบสภาเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งแก้รัฐธรรมนูญ อำนาจ สว.ยังเป็นเงื่อนไขหลัก เกมการเมืองจึงรีเซ็ตใหม่ ขณะความไม่แน่นอนชายแดน กลายเป็นตัวแปรอนาคตเลือกตั้ง
KEY
POINTS
- การยุบสภาเป็นผลโดยตรงมาจากความล้มเหลวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นจุดแตกหักทางการเมือง
- ความขัดแย้งสำคัญเกิดจากประเด็นอำนาจของวุฒิสภา (สว.) ที่ต้องใช้เสียงเห็นชอบ 1 ใน 3 ในการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรครัฐบาลไม่สามารถยอมรับได้
- ความล้มเหลวในการแก้ไขประเด็นอำนาจ สว. ได้ทำลายเงื่อนไขที่สนับสนุนรัฐบาลผสม และนำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาในที่สุด
ยุบสภาเร็วเกินคาด ใครตัดสินใจ เพื่ออะไร
การยุบสภาผู้แทนราษฎร ถูกมองว่าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อเทียบกับการประเมินของพรรคการเมืองและสังคมการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าได้เตรียมร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาไว้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และเห็นว่าการยุบสภาเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทิศทางประเทศใหม่
ในเชิง 5W1H เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจาก “ใคร” คือฝ่ายบริหารที่ถืออำนาจตามรัฐธรรมนูญ “เมื่อใด” คือช่วงที่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเข้าสู่จุดชี้ขาด “ที่ไหน” คือในสภาผู้แทนราษฎร “อย่างไร” คือใช้อำนาจยุบสภาตามขั้นตอนกฎหมาย และ “ทำไม” คือเมื่อกลไกทางการเมืองไม่สามารถเดินหน้าต่อได้
แม้เหตุผลทางการเมืองถูกอธิบายว่าเป็นการเปิดทางให้ประชาชนตัดสินใจ แต่ในมุมมองของฝ่ายค้าน การยุบสภาในห้วงเวลาที่ประเทศเผชิญทั้งปัญหาชายแดนและภัยพิบัติ ถูกตั้งคำถามว่ามีมิติการเมืองแฝงอยู่มากกว่าการคืนอำนาจเพียงอย่างเดียว
แก้รัฐธรรมนูญสะดุด อำนาจ สว. คือจุดแตกหัก
จุดแตกหักสำคัญนำไปสู่การยุบสภา คือความล้มเหลวของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 256/28 ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจวุฒิสภา คณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเสนอให้การแก้รัฐธรรมนูญต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ผลการลงมติในสภาปรากฏว่าเสียงข้างน้อยชนะ 329 ต่อ 302 เสียง ส่งผลให้พรรคประชาชนไม่อาจยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการคงอำนาจ ส.ว. เหนือกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะที่ สว. กลุ่มหนึ่งต้องการรักษาเงื่อนไขนี้ไว้ เพราะหากการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ อำนาจของ สว. ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลง
ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงถูกมองว่า “แท้งกลางสภา” และกลายเป็นการทำลายเงื่อนไขทางการเมืองที่เคยใช้เป็นฐานสนับสนุนรัฐบาลผสม นำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาในที่สุด
ใครได้เปรียบ เลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่
ในเชิงอำนาจ พรรคภูมิใจไทยถูกประเมินว่าได้เปรียบจากการยุบสภา เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่สถานะรัฐบาลรักษาการ ซึ่งยังคงถืออำนาจรัฐในช่วงก่อนเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์กับ สว. และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการจำนวนมากในช่วงก่อนหน้า ถูกมองว่าเป็นการวางฐานอำนาจล่วงหน้า
นอกจากนี้ สว. ชุดปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ถึงวันที่ 16 ธันวาคม และมีบทบาทในการสรรหาองค์กรอิสระสำคัญ เช่น กกต. และ ป.ป.ช. ซึ่งอาจส่งผลต่อเกมการเมือง รวมถึงคดี ส.ส. พรรคประชาชนที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
คำถามใหญ่คือ การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ แม้กฎหมายกำหนดกรอบ 45–60 วันหลังยุบสภา แต่สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนและความเป็นไปได้ของการประกาศกฎอัยการศึก อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ หากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งวันเดียวทั่วประเทศได้ กระบวนการเลือกตั้งอาจต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย
การยุบสภาไม่ใช่เพียงการคืนอำนาจให้ประชาชน แต่สะท้อนความล้มเหลวของเกมแก้รัฐธรรมนูญและการช่วงชิงอำนาจเชิงโครงสร้าง ท่ามกลางตัวแปรความมั่นคงที่อาจกำหนดอนาคตการเลือกตั้งทั้งประเทศ
ที่มา : เนชั่นอินไซต์ ภาคพิเศษ เกาะติดยุบสภา (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


