posttoday

‘หนุนรวม 3 กองทุนสิทธิสุขภาพ บัตรทอง-ประกันสังคม-ข้าราชการ สู่ระบบเดียว’ ก่อนรัฐไทยเจ๊ง!

12 ธันวาคม 2568

TDRI-สภาพัฒน์-นักวิชาการตปท. หนุน รวม 3 กองทุนสิทธิสุขภาพบัตรทอง-ประกันสังคม-ข้าราชการเป็นระบบเดียว’ ก่อนรัฐไทยเจ๊ง จากค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข!

KEY

POINTS

  • TDRI-สภาพัฒน์-นักวิชาการตปท. เสนอให้รวม 3 กองทุนสุขภาพ ได้แก่ บัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ เป็นระบบเดียวเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและซ้ำซ้อน
  • ชี้ให้เห็นความไม่เป็นธรรมด้านงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายต่อหัวของสิทธิข้าราชการสูงกว่าสิทธิบัตรทองและประกันสังคมหลายเท่าตัว
  • ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่าการให้ประชาชนร่วมจ่าย (Copayment) ไม่ใช่ทางออก เพราะอาจสร้างภาระและทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ
  • เตือนว่าหากไม่ปฏิรูประบบ อาจเกิดวิกฤตทางการคลังด้านสุขภาพในอนาคต เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากสังคมสูงวัยและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

การประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ.2568 จัดขึ้นวันที่ 11-12 ธันวาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ “SAFE financing: การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Ensuring SAFE financing for a resilient healthcare system in transition) โดยกระทรวงสาธารณสุข มีประเด็นที่น่าสนใจ!

 

คำว่า SAFE ที่นำมาใช้นั้น มีหลักใหญ่ประเด็นสำคัญ ที่สาธารณสุขต้องเผชิญและร่วมกันแก้ไขภายใต้ระบบ ‘การเงินการคลัง’ ของประเทศไทย

 

อาจฟังเป็นเรื่องยาก แต่อยากให้ผู้อ่าน โพสต์ทูเดย์ ทำความเข้าใจไปพร้อมกัน เพราะนี่คืออนาคตไม่ใช่แค่เฉพาะตัวเราแต่คือ 'ลูกหลาน' และแน่นอนว่ากระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยกว่า 65 ล้านคน! 

 

 

SAFE มาจาก

 

S คือ Sustainablity พูดง่ายๆ คือ ประเทศต้องมีปัญญาจ่ายค่าสาธารสุข

A คือ Adequacy หรือความเพียงพอ  คือ มีเงินพอต่อเนื่องในระยะยาว ตอบสนองต่อความจำเป็นของประชาชนโดยไม่ก่อให้เกิดความยากลำบากทางการเงิน

F คือ Fainess ยุติธรรม คือ ระบบสาธารณสุขต้องทำให้คนรายได้มากน้อย ได้รับการดูแลด้านสาธารณสุขถ้วนหน้าไม่ทิ้งใครข้างหลัง

E คือ Efficeincy ประสิทธิภาพ คือ การใชัทรัพยากร ต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีคนได้รับบริการมากขึ้นใช้งบเท่าเดิม

 

หลัก 4 ข้อดังกล่าวล้วนมีความสำคัญแทบทั้งสิ้น แต่หลักใหญ่ที่น่าสนใจประการหนึ่งซึ่งพูดกันมาหลายสิบปี แต่พูดเมื่อไหร่ ก็มีโวยเมื่อนั้น คือ Fairness หรือความยุติธรรมที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข  โวยอย่างไร? …

 

เพราะในการประชุมครั้งนี้ นักวิชาการทั้งจากฝั่ง TDRI สภาพัฒน์ รวมไปถึงนักวิชาการต่างประเทศ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 

 

การบริหารหลักประกันสุขภาพของไทย ที่มีอยู่ตั้ง 3 กองทุน + ประกันเอกชน

เป็นการบริหารงานที่ซ้ำซ้อน และยากจะไปต่อได้จริงๆ!

มิเช่นนั้น รัฐไทยจะเจอปัญหา

 

 

3 กองทุนความแตกต่างด้านรายจ่ายต่อหัวสูงถึง 249.2%

 

 

เริ่มต้นที่ช่วงหนึ่งของการขึ้นพูดของ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข  กล่าวว่า

 

จุดที่น่ากังวลที่สุดคือ ความเป็นธรรมและประสิทธิภาพ โดยข้อมูลปีงบประมาณ 2566 พบว่า รายจ่ายต่อหัวของสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสูงกว่าระบบอื่นมาก

  • รายจ่ายต่อหัวของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสูงถึง 18,463 บาทต่อคน
  • ในขณะที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) อยู่ที่เพียง 3,770 บาทต่อคน
  • และในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 5,289 บาทต่อคน

 

ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างจากค่าเฉลี่ย 3 ระบบหลักสูงถึง 249.2% แถมยังไม่มีอัตราจ่ายที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านงบประมาณยังเป็นความท้าทายของทั้ง 3 กองทุน

 

“ ต้องมีการอธิบายได้ว่าทำไมแตกต่างกันมาก และควรจะคุยกันได้ว่าควรจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร”

 

 

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงประเด็นร้อนอีกหนึ่งเรื่องที่มีการเรียกร้องจากฝั่ง โรงพยาบาลอยู่เนืองๆ นั่นคือ Copayment หรือการร่วมจ่าย ซึ่ง นพ.ศุภกิจมองว่า

 

Copaymant เป็นเรื่องที่พูดถึงเยอะมาก  ซึ่งมีอยู่หลายลักษณะ คือ เก็บเงินก่อน หรือจ่ายตอนเจ็บป่วยแล้วที่จุดบริการ ซึ่งในกรณีหลังน่าเป็นห่วง เพราะจะเกิดการเลือกปฏิบัติ คนไม่มีเงินจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเงินไม่มีก็ไม่จ่าย หรือคนที่ให้บริการมีแนวโน้มให้บริการแก่คนที่มีเงินจ่ายมากกว่า”

 

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

 

 

ควรตัดเรื่องสิทธิสุขภาพให้ทางสปสช.ทำ และประกันสังคมไปดูเรื่องสวัสดิการอื่นแทน

 

 

ร้อนแรงสมทบไปอีก กับมุมมองของ ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยฝ่ายวิเคราะห์ตลาดแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่มองในประเด็นนี้ว่าการรวม 3 กองทุนควรจะเกิด! 

 

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของไทยนั้นแย่ลง เมื่อดูสัดส่วนเงินสิทธิสุขภาพของข้าราชการพบว่าเยอะสุด อยากให้ลงเจาะลึกไปว่าที่เยอะสุดนั้น ไปอยู่ที่ค่ายาหรือไม่?

 

“ การรวม 3 กองทุนควรจะเกิด  แม้ว่าก่อนหน้านี้มีการต่อต้านเยอะมาก แต่ทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่าตลาดมันบีบ มี 2 กองทุนที่ค่อนข้างจะรวมกันอย่าง บัตรทองและประกันสังคม  ผมพูดเสมอว่า ประกันสังคมควรตัดค่ารักษาพยาบาลมาให้สปสช.ทำ แต่ก็ต้องระวังอีก เพราะจะทำให้ สปสช.เป็นผู้ซื้อรายเดียว ฉะนั้นก็ต้องกลับมาดูในเรื่องกำกับดูแลให้ดี”

 

ดร.ณัฐนันท์ กล่าวต่อว่า เมื่อถามว่าระบบทุกวันนี้ ‘แฟร์’ หรือไม่ ให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ในชีวิตคนเรา เราจะมีค่าใช้จ่ายพยาบาลเยอะในช่วงไหน ซึ่งสิทธิที่ต้องมาแบกค่าใช้จ่ายเยอะจริงๆ แล้วคือบัตรทอง

 

“ ตอนเราเกิดเราใช้บัตรทอง แต่พอถึงวัยทำงานใช้ประกันสังคม ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เรามีกำลังวังชา ร่างกายแข็งแรง เรากลับนำเงินนั้นไปจ่ายให้ที่อื่น แต่พอเกษียณ ไม่มีแรง มาพร้อมโรค ก็มาใช้เงินที่บัตรทอง ถามว่าแฟร์หรือไม่?”

 

จึงมองว่า ควรตัดเรื่องสิทธิสุขภาพให้ทางสปสช.ทำ และประกันสังคมไปดูเรื่องสวัสดิการอื่นแทน

 

 

“ อีกทั้งในส่วนของประกันสุขภาพของเอกชนทุกวันนี้ ไม่ได้ใจดีอีกแล้ว เราจึงควรรวม 3 กองทุนสุขภาพเข้าด้วยกัน”

 

 ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยฝ่ายวิเคราะห์ตลาดแรงงาน TDRI

 

 

ส่วนในเรื่องของ Copayment ดร.ณัฐนันท์มองว่าคงเกิดไม่ได้!

 

“ Copayment เกิดไม่ได้ หลายท่านบอกว่า Copayment คือทางออก แต่อยากจะถามกลับว่า นิวซีแลนด์ใช้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เกิดปัญหาคือประชาชนจ่ายเยอะมาก หาหมอครั้งหนึ่งเท่ากับค่าแรง 2 ชม.  เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบอกให้ใช้ Copayment ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า ถ้ามันไม่ช่วยจริงอย่างที่คิด เป็นภาระเพิ่มแล้วจะทำยังไงต่อ?”

 

“ ความเหลื่อมล้ำทำให้ Copayment ไม่เกิด เพราะเงิน 10 บาทของเราไม่เท่ากัน”

 

 

 ดร.โจนาธาน ไซลัส

 

 

Copayment หรือ ระบบร่วมจ่ายไม่ใช่คำตอบ เพราะคือรูรั่วไปสู่เอกชน

 

ตอกย้ำด้วยมุมมองจากนักวิชาการต่างประเทศ อย่าง  ดร.โจนาธาน ไซลัส Head of the London Hubs of the European Observatory on Health Systems and Policies ที่ชี้ให้เห็นว่าอนาคตไทยต้องลดความซ้ำซ้อนของกองทุนสุขภาพภาครัฐทั้ง 3 กองทุน โดยให้ความคิดเห็นว่า การรวม 3 กองทุนเป็นกองทุนเดียวนั้นอาจจะทำไม่ได้ในระยะเวลาสั้น หรือในไทยอาจจะทำไม่ได้เลยในระยะยาว แต่สามารถที่จะใช้  'กลไกการปรับความเสี่ยง' เพื่อจะสามารถ จัดสรรเงินทุนข้ามโครงการได้

 

นอกจากนี้ ดร.โจนาธาน เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า Copayment หรือ ระบบร่วมจ่ายไม่ใช่คำตอบ เพราะในหลายประเทศ มาตรการร่วมจ่ายมักทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงบริการ และยังสร้างภาระการบริหารจัดการสูง  อีกทั้งการเปิดช่องให้ประชาชนบางกลุ่มเลือกไปซื้อประกันเอกชน จะทำให้เงินไหลออกจากระบบหลักประกันสุขภาพ ไปสู่ภาคเอกชนเชิงพาณิชย์อีกด้วย

 

“ มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการดูการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในระบบร่วมจ่าย พบว่า ผู้คนหยุดซื้อยาเมื่อมีการร่วมจ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งยาที่ว่าคือยาสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่มีภาวะหัวใจ

สำหรับผมจึงมองว่าไม่ใช่คำตอบ รวมไปถึงการสนับสนุนให้มีการใช้ประกันสุขภาพส่วนบุคคลด้วย เพราะมีหลายประเทศกระตุ้นให้คนรวยซื้อประกันสุขภาพส่วนตัว โดยการลดหย่อนภาษีแก่พวกเขา นั่นหมายถึงว่า คุณกำลังลดเงินสำหรับภาครัฐ โดยสนับสนุนให้คนรวยซื้อประกันส่วนตัว ซึ่งไม่สมเหตุสมผล

สิ่งนี้ทำให้ความเหลื่อมล้ำเกิดมากขึ้นไปอีก ถ้าดูประเทศที่ทำแบบนี้อย่างไอร์แลนด์ ในช่วงปี 1950 มีช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยากลำบาก และต้องการกระตุ้นการใช้ประกันสุขภาพส่วนบุคคล โดยจะนำเงินเหล่านี้หวังว่าจะดึงเงินมาอุดหนุนโรงพยาบาลรัฐ แต่ปรากฎว่า พวกเขากลับเข้าถึงโรงพยาบาลรัฐได้โดยใช้สิทธิพิเศษ ข้ามคิวได้ ไม่ต้องรอ เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็ตระหนักว่าถ้าไม่มีประกันส่วนตัว ต้องรอเป็นครึ่งปีสำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพก

ดังนั้นทุกคนจึงไปซื้อประกัน ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับที่เกิดขึ้นในเยอรมนี มันกลายเป็นว่าแทนที่รายได้นั้นจะเข้าสู่ระบบของสาธารณะ แต่กลับถูกจ่ายไปให้กับระบบส่วนตัวหรือธุรกิจ”

 

 

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

 

 

3 กองทุนและประกันเอกชน ควรจะต้องรวมกันทั้งหมดเป็นระบบเดียว

 

ท้ายสุด ด้าน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์) ได้ให้มุมมองที่ต่างออกไปเล็กน้อย แต่ยังอยู่บนหลักการที่ว่า ‘ต้องรวมกันเป็นระบบเดียว’ โดยชี้ว่า โครงสร้างของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจากภาษี และไม่ได้มีเงินสมทบจากประชาชน ลต้องปรับเปลี่ยนระบบจากแนวคิดเดิมต้องการให้มีประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินเลย จะต้องเป็นระบบผสมผสานใน 2 มิติ คือ

 

1.กองทุนทั้ง 3 กองทุนและประกันเอกชน ควรจะต้องรวมกันทั้งหมดเป็นระบบเดียว

ส่วนตัวเห็นว่า ระบบผสมผสาน เริ่มจากประชาชนต้องแบ่งส่วนของเงินเดือนเข้าไปอยู่ในกองทุนเพื่อประกันสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลและนายจ้างต้องใส่เข้าไปเพิ่ม เหมือนประกันสังคม  จากนั้น อาจให้ประชาชนสามารถนำเงินตรงนี้ไปใช้ซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเองได้

2.ควรจะต้องมีอีกกองทุนที่รัฐบาลจะใช้สำหรับดูแล ประชาชนกรณีที่ยากไร้

ซึ่งเป็นกองทุนที่รัฐบาลต้องตั้งขึ้นเองและช่วยประชาชนยามที่ไม่สบายหรือเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง

 

 

สรุป

 

จะเห็นได้ว่าแนวทางจากนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าและนักวิจัยระดับประเทศ มองไปในทิศทางเดียวกัน คือ การรวมกองทุนภาครัฐเข้ามาเป็นระบบเดียว อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่บทบาทของภาคเอกชนอย่างประกันสุขภาพจะเข้ามามีความสำคัญในระบบนี้มากน้อยเพียงใด

 

สิ่งที่ได้ยินจากสัมนา แม้จะเป็นเรื่องวิชาการ แต่ในฐานะประชาชนคนไทย ไม่ว่าคุณจะใช้สิทธิไหน

ลองถามตนเองดูว่าสิ่งที่ได้รับ ‘แฟร์’ พอหรือยัง

และถึงเวลาหรือยังที่ไทยจะต้องจัดการสิ่งนี้เสียที

 

เพราะในขณะที่ GDP ของไทยโตไม่มากตั้งแต่หลังปี 2540 แต่ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข อยู่ในระดับสูงอย่างเสถียรมานาน และมีทีท่าว่าจะพุ่งสูงขึ้นจากสภาพสังคมสูงวัยที่มาก่อนกาล และโรค NCDs ที่มีค่าใช้จ่ายพุ่งจนควบคุมได้ยาก

ซึ่งจากการประชุมครั้งนี้มองตรงกันว่า ในอีก 10 ปีหลักประกันสุขภาพของประชาชนไทยยังไปได้ แต่มากกว่านั้นคือ ‘วิกฤต’

 

ข่าวล่าสุด

ยุบสภา68ความล้มเหลวแก้รัฐธรรมนูญสะดุด อำนาจสว.จุดแตกหัก