ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ร่วงต่ำสุดรอบ 8 เดือน เซ่นภาษีสหรัฐฯ-ปิดด่านกัมพูชา
ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนมิ.ย.68 ดิ่งเหลือ 87.7 ต่ำสุดรอบ 8 เดือน ชี้เหตุจากภาษีสหรัฐฯ-ปิดด่านกัมพูชา-การเมืองป่วน-ต้นทุนพุ่ง คาด 3 เดือนข้างหน้าลดลงต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2568 ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 8 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 87.7
- ปัจจัยหลักเกิดจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทย
- การปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดนและการส่งออก
นายนาวา จันทรสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 87.7 จาก 88.1 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน สะท้อนความกังวลของผู้ประกอบการต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจัยลบหลักมาจากการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG จากไทย ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน รวมถึงนโยบายภาษีนำเข้าฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทย
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดพลังงาน ทำให้ราคาผันผวน ขณะเดียวกัน การส่งออกและภาคท่องเที่ยวชะลอตัว สินค้านำเข้าจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาแทนที่สินค้าผลิตในประเทศ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกร และลดทอนกำลังซื้อในภูมิภาค
ภาคธุรกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการเมืองในประเทศ ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าจากเงินทุนไหลเข้า และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัว ทำให้ส่งออกเผชิญแรงกดดันมากขึ้น
แม้จะมีปัจจัยลบบางประการ แต่ในเดือนมิถุนายนยังมีปัจจัยบวก เช่น การเร่งส่งออกก่อนหมดมาตรการชะลอภาษี Reciprocal Tariff, สัญญาณเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่เป็นบวก และกิจกรรมกระตุ้นการขายของภาคเอกชนช่วยพยุงการบริโภคในประเทศ
สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 จาก 91.7 ในเดือนก่อนหน้า สาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ การปิดด่านไทย-กัมพูชายืดเยื้อ และผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันในหลายพื้นที่ซึ่งเริ่มมีผล 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs
นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากการบังคับใช้มาตรการภาษี Reciprocal Tariff ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ทำให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
ส.อ.ท. ได้เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการเร่งด่วน เช่น ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านด้วยการจัดหาตลาดใหม่ จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ และชดเชยค่าแรงให้แรงงานในกิจการที่ต้องปิดชั่วคราว
พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้รัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามกำหนดเวลา พร้อมกำกับดูแลอย่างโปร่งใส และเร่งเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ให้กลับสู่ระดับที่แข่งขันได้ก่อน 1 สิงหาคมนี้
อย่างไรก็ดี ยังคาดหวังว่าโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” จะมีส่วนช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม


