วิทัย ผ่าพายุการเมือง ผงาดนั่ง ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ มีผล 1 ตุลาคม
ครม. มีมติแต่งตั้ง "วิทัย รัตนากร" นั่งผู้ว่าฯธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ต่อจาก “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ที่จะครบวาระในวันที่ 30 ก.ย. 2568
ผู้สื่อข่าวกระทรวงการคลังรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง "นายวิทัย รัตนากร" ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่22 ลำดับที่ 25 ของไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอชื่อ ต่อจาก “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าฯธปท. คนปัจจุบัน ที่จะครบวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาเสนอแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการเงินธนาคาร และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ
ดังนั้น จึงเห็นควร เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ขอให้สำนักงานองคมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไป โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
เปิดประวัติ "วิทัย รัตนากร"
ปัจจุบัน นายวิทัย รัตนากร อายุ 54 ปี เป็นบุตรของ นางศิริลักษณ์ รัตนากร อดีตกรรมการผู้จัดการหญิงคนแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ นายโสภณ รัตนากร อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม
ด้านการศึกษา นายวิทัยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทถึง 3 ใบ 3 สาขา ได้แก่
• เศรษฐศาสตร์การเมือง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• กฎหมายธุรกิจ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• การเงิน จาก Drexel University ประเทศสหรัฐอเมริกา
เส้นทางอาชีพ จากภาคเอกชนสู่ผู้นำองค์กรการเงินรัฐ
นายวิทัยเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในสายการเงินกับ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร ก่อนจะย้ายเข้าสู่ภาครัฐกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และภายหลังขยับสู่ภาคเอกชนในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ช่วงปี 2554–2557
ต่อมาในปี 2558–2559 เข้าร่วมงานกับ ธนาคารออมสิน ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการธนาคาร ดูแลกลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ก่อนจะได้รับบทบาทด้านการลงทุนและบริหารการเงินในฐานะ CFO ของธนาคาร ระหว่างปี 2559–2561
หนึ่งในภารกิจที่ท้าทายที่สุดของเขาคือการได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง รักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ช่วงปี 2560–2561 เพื่อฟื้นฟูสถานะทางการเงินของธนาคาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารประสบปัญหาอย่างหนัก
ภายหลัง เขาได้รับแต่งตั้งเป็น เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. ระหว่างปี 2561–2563 ก่อนจะกลับมารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในปี 2563 ซึ่งดำรงตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน โดยเขาเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันแนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม” หรือ Social Bank เพื่อเชื่อมโยงบทบาทของธนาคารรัฐกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
การแต่งตั้งนายวิทัย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ครั้งนี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากบทบาทของ ธปท. มีความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน และดูแลนโยบายการเงินของประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งในและต่างประเทศ
โดย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารออมสิน ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ได้เปิดเผยแนวคิดสำคัญต่อบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในยุคเศรษฐกิจเปราะบาง ว่า “ธปท.ต้องเป็นอิสระแต่ไม่โดดเดี่ยว” โดยควรมีอิสระในการตัดสินใจเชิงนโยบาย แต่ต้องร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการคลัง BOI กระทรวงพาณิชย์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่สามารถพึ่งนโยบายการเงินอย่างเดียวได้
นายวิทัยระบุว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกรับแรงหนุนจากการส่งออกช่วงต้นปี และจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสแรก แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังยังน่ากังวลจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น สงครามยืดเยื้อ ภาษีนำเข้าสหรัฐ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ
แม้ ธปท. จะรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ดี เช่น ควบคุมเงินเฟ้อและสร้างระบบการเงินเข้มแข็ง แต่ด้วยบริบทที่ซับซ้อนขึ้น ธปท.จำเป็นต้องเพิ่มบทบาทในการดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจมากกว่าที่เคย
วันนี้วิกฤตหนักกว่าวิกฤตปี 2540 เพราะไม่ได้กระทบแค่คนรวยหรือสถาบันการเงิน แต่กระทบคนส่วนใหญ่ ขณะที่ไทยยังมีข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน การส่งออก การท่องเที่ยว และภาระหนี้ครัวเรือนสูงโดยเสนอว่า การแก้ปัญหาต้องคิดใหม่และทำใหม่ โดยเน้นการร่วมมือแบบบูรณาการ
โครงการหนี้ยังไม่เข้าถึงทุกกลุ่ม – เสนอ 3 แนวทางแก้หนี้ครัวเรือน
แม้โครงการ “คลินิกแก้หนี้” และ “คุณสู้ เราช่วย” จะช่วยลูกหนี้หลายแสนราย แต่ยังมีอีกหลายแสนคนที่เข้าไม่ถึงระบบ โดยเฉพาะในกลุ่มฐานราก ซึ่งยังประสบปัญหาดอกเบี้ยสูงและเข้าถึงสินเชื่อยาก
นายวิทัยเสนอ 3 แนวทางแก้หนี้ครัวเรือน ดังนี้
เร่งการเติบโตเศรษฐกิจ – หาก GDP โต 4% ต่อเนื่อง 2-3 ปี จะลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนได้
ลดดอกเบี้ยเงินกู้ – ช่วยลูกหนี้ลดภาระ ชำระเงินต้นได้มากขึ้น แม้ยอดจ่ายเท่าเดิม
ปรับโครงสร้างหนี้ – โดยโอนหนี้ไม่มีหลักประกันที่ธนาคารสำรองไว้แล้วให้หน่วยงานเฉพาะดูแลในราคาต่ำ พร้อมเพิ่มบทบาทบรรษัทประกันสินเชื่อฯ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเฉพาะกลุ่ม เช่น SMEs และผู้ส่งออก
เสนอให้ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง – เน้นส่งสัญญาณชัดเจน
นายวิทัยมองว่า ธปท.ควรส่งสัญญาณเชิงรุกชัดเจนมากขึ้นในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้ตลาดตอบสนองและส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ได้จริง เนื่องจากปัจจุบันการลดดอกเบี้ยมีผลจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้เสี่ยง ที่ธนาคารระมัดระวังมากขึ้นจากเศรษฐกิจที่อ่อนแรง
แม้ ธปท. อาจกังวลว่าการลดดอกเบี้ยจะทำให้เกิดหนี้ใหม่ แต่ในมุมของนายวิทัย ประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาหนี้และกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากกว่า โดยย้ำว่า “ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เมื่อส่งผ่านดอกเบี้ยถึงประชาชนจริง”
เศรษฐกิจไทยปี 2568-2569 เสี่ยงเข้าสู่ภาวะ “เงินเฟ้อต่ำ-เติบโตต่ำ”
นายวิทัยเตือนว่า เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญภาวะ “low inflation, low growth” ในปี 2568 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออาจต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักอย่างท่องเที่ยวและส่งออกอาจไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เต็มที่
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทาย บางภาคส่วนแข็งแกร่ง เช่น สถาบันการเงิน แต่ภาคส่วนที่กระทบคนส่วนใหญ่กลับอ่อนแอ จำเป็นต้องมีแนวทางใหม่ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้


